นักประวัติศาสตร์ตอกย้ำ ผลเลือกตั้ง อบจ. สะท้อน “พวกเหิมเกริม-จาบจ้วง” แพ้เลือกตั้งแบบหมดรูป ต้องการเปลี่ยนแปลง-ปฏิรูป เป็นเรื่อง “จอมปลอม” ไม่มีอยู่จริง เหตุคนไทยที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด รับไม่ได้ จึงต้องเลือกข้างเพื่อปกป้อง “สถาบัน”
เมื่อวันที่ 21 ธ.ค.63 นายอัษฎางค์ ยมนาค ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัวระบุว่า…ผมขอวิเคราะห์ผลการเลือกตั้งครั้งนี้แบบไม่อิงหลักวิชาการใดๆ แต่เป็นในลักษณะเมาส์กันในสภากาแฟ ว่า…
1) เหมือนอย่างที่ผมเคยโพสต์ไว้หลายครั้งว่า สถาบันพระมหากษัตริย์ของเรา แข็งแกร่งกว่าที่ใครๆ คาดคิด
ใครๆ ที่คาดคิดในที่นี่ได้แก่ คนที่เทิดทูนและคนที่ต่อต้านสถาบันฯ รวมทั้งต่างชาติที่สนับสนุนคนที่ล้มสถาบันฯ แนวทาง การกระทำ และความเหิมเกริม ของทั้ง 3 สัสในเมืองไทย และ 3 สัสจากแดนไกล อนาคตใหม่ ก้าวหน้า ก้าวไกล ปลดแอก คณะราษฏร์63 เสื้อแดง คอมมิวนิสต์หลงยุค และทักษิณนอมินนี ที่เริ่มต้นจากความต้องการอำนาจทางการเมือง แต่เหิมเกริม จาบจ้วงไปถึงสถาบันฯ นั้น สร้างกระแสความจงรักภักดีให้ถูกซูบฉีดไปทั่วทุกตัวคนในแผ่นดินไทย อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
หลายคนอาจไม่ทันคิดว่า คนไทยจำนวนไม่น้อย ที่ไม่ฝักใฝ่การเมืองขั้วใด และไม่ได้ยินดียินร้ายกับการเมืองหรือสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่ความเหิมเกริม และจาบจ้วงด้วยความหยาบช้าต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยที่สถาบันฯ ไม่เคยตอบโต้ใดๆ กลับไปเลยนั้น กลายเป็นแรงผลักในคนเหล่านั้น เลือกเข้าข้างเพื่อปกป้องสถาบันฯ ในที่สุด ผมเคยได้ยินคนเขาเมาส์กันว่า มีพระอาจารย์ดังทำนายว่า แผ่นดินในยุคของรัชกาลที่ 10 จะมีความรุ่งเรืองอย่างที่สุด ตอนนั้นผมยังเฉยๆ เพราะสถานการณ์ดูเหมือนจะตรงกันข้ามกับเรื่องที่เมาส์กัน แต่ตอนนี้ผมรู้สึกว่า คำทำนายนั้นชักมีแววว่าเป็นจริงเสียแล้ว ยิ่งโดนตี ยิ่งดัง ยิ่งเป็นที่รัก ยิ่งทำให้คนหันมาจงรักภักดี ยิ่งทำให้เกิดความสามัคคี
2) เป็นการสำคัญผิด และเป็นความผิดพลาดในการดำเนินนโยบาย
แก๊ง 3 สัส ทั้งนอกและในประเทศ คอมมิวนิสต์หลงยุค และทักษิณนอมินี่ เริ่มต้นเอาความเป็นประชาธิปไตยมาหลอกเด็กหลอกผู้ใหญ่ให้คล้อยตาม แต่สุดท้ายสันดานที่แท้จริงค่อยๆ คลายออกมา เพราะความย้ามใจ ความเหิมเกริม แทนที่จะยกประเด็นประชาธิปไตย กลับพุ่งเป้า จาบจ้วงต่อสถาบันฯ อย่างหยาบช้า ตบท้ายด้วยการถอดหน้ากาก ทำให้ภาพเปลือยประชาธิปไตยหลุดออกไป จนเห็นเนื้อแท้ว่าความจริงคือความนิยมในสังคมนิยมคอมมิวนิสต์
3) ขบวนการ 3 สัส ปลดแอก แอบอ้างประชาธิปไตยนี้ มีผู้นำตัวจริงที่เป็นอีแอบ เป็นไอ้โม่ง ที่เป็นกลุ่มคนที่มีการศึกษาและมีฐานะทางสังคมสูง
แต่กลุ่มผู้นำ ที่เป็นตัวแทนของพวกอีแอบ มีแต่เด็กที่ไม่เรียนหนังสือหรือเรียนไม่จบ ซึ่งทำให้คนกลุ่มนี้ แสดงออกอย่างน่าสมเพช มากกว่าน่าเชื่อถือ
กลุ่มสุดท้าย คือกลุ่มของผู้คล้อยตาม ประกอบด้วย กลุ่มปัญญาชนตัวจริง กับกลุ่มเด็กนักเรียนที่ไร้เดียงสา ปัญญาชนที่ถูก ปัญญาอ่อนชน จูงจมูก และเด็กไร้เดียงสา ที่ไม่ได้ฝักใฝ่ประชาธิปไตยอะไรทั้งนั้น แต่ฝักใฝ่ในความเป็นขบถของสังคม ตามวัยฮอร์โมน
สังเกตดูได้จาก ข้อเรียกร้องที่ไร้สาระ เช่น ไม่แต่งชุดนักเรียน ไม่ต้องกตัญญู ไม่ต้องไหว้ ไม่ต้องยิ้ม ไม่ต้องเรียนพี่น้อง ไม่ต้องเรียกพ่อเรียกแม่ ลุงป้าน้าอา ซึ่งมันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับความเป็นประชาธิปไตย
4) เพราะฉะนั้น ผู้ที่ต้องการจะเปลี่ยนแปลง ปฏิรูปประชาธิปไตยจึงเป็นเรื่องจอมปลอมที่ไม่มีอยู่จริง
ที่มีอยู่จริง มีแต่เด็กวัยฮอร์โมน ที่อยากแสดงความเป็นขบถต่อสังคม เรียกร้องความสนใจว่าตนเอง ฉลาดรอบรู้กว่าใคร ซึ่งเป็นเพียงแฟชั่นของวัยที่ฮอร์โมนกำลังมีการปฏิรูปและเปลี่ยนแปลอยู่เท่านั้น
5) สรุป
แพ้เลือกตั้งแบบหมดรูป จากความเหิมเกริม จาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างหยาบช้า เพราะประเมินสถาบันพระมหากษัตริย์และผู้จงรักภักดีต่ำไปมาก
มารอดูกันว่า พวกขี้แพ้ชวนตี จะมาแถว่าอะไรอีก เช่น…ตัวเองแพ้เลือกตั้ง คงจะบอกว่า เพราะประเทศนี้ไม่เป็นประชาธิปไตย ประชาธิปไตย คือ กูต้องชนะเท่านั้น