“จตุพร” เผยเตรียมเดินสายคุยอดีตแกนนำ นปช.เพื่อหารือแนวทางขององค์กร นปช. แต่ส่วนตัวมองว่า ควรจะยุติองค์กร นปช.ให้เป็นตำนาน ย้ำเป็นคนเดิม จ่อดำเนินคดีกับนักเลงคีย์บอร์ด ปมใส่ร้ายไปอยู่กับเผด็จการ
เมื่อ 27 ธ.ค. นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวในรายการลมหายใจพีซทีวี เวทีทัศน์ส่งท้ายปี 2563 ว่า ปีนี้เป็นบรรยากาศส่งท้ายปีเก่าท่ามกลางเรื่องราวมากมาย และปีหน้าก็จะเป็นปีที่เรื่องราวจะมากกว่าปีนี้ โดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจสังคม การเมืองในทุกๆด้าน แต่การต่อสู้กับเผด็จการนั้นสู้ไปสู้มา กลายเป็นตนถูกผลักไปอยู่ร่วมกับเผด็จการ ซึ่งเป็นข้อหาที่มีความรุนแรงมากที่สุด โดยอ้างเรื่องเชียงใหม่ที่ไปช่วยหาเสียงเลือกตั้งนายก อบจ. ดังนั้นทุกเรื่องราวเมื่อมีการโจมตีใส่ร้ายตน ตนก็ลุกขึ้นต่อสู้ตามวิถีทางที่ต่อสู้มาตลอดชีวิต โดยเฉพาะเรื่องความถูกต้องและความดีงามทั้งหลาย
ที่ผ่านมา ตนตั้งใจจะไม่ฟ้องร้องดำเนินคดีกับใคร แต่เมื่อปล่อยไว้ยิ่งได้ใจ กล่าวหาทุกเรื่องที่เป็นความเท็จ โดยเฉพาะเรื่องที่บอกว่าไปอยู่กับเผด็จการ ก็ต้องไปสู้กันในชั้นศาล เพราะคนเราหากจะชั่วไปอยู่กับเผด็จการก็คงไม่มาเสียคนเอาตอนแก่ ซึ่งวิถีชีวิตของตน จากเด็กวัดไปเป็นครูดอยที่ไม่มีเงินเดือนกว่า 3 ปี ออกมาเป็นผู้นำนักศึกษาในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬลงเวทีอย่างมือเปล่า กลับไปอยู่หอพักใช้ชีวิตเเบบเดิม และก่อนที่จะมาพรรคไทยรักไทยตนก็ไปทำงานเกี่ยวกับภาคองค์กรประชาธิปไตย ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเรื่องที่ดินทำกิน การจัดสรรทรัพยากรธรรมชาติ เรื่องแรงงาน เหล่านี้ปรากฎเป็นข่าวสามารถย้อนกลับไปดูได้
ทั้งนี้ ในระหว่างทางก็สู้กันมาตลอดทาง ไม่เคยอยากได้ใคร่ดี จนกระทั่งวันหนึ่งก็ลงมาสู่บนท้องถนนอย่างจริงจังกันอีกรอบหลังจากการยึดอำนาจปี 2549 จาก นปก.จนกระทั่งนปช. ตนไม่เคยคิดที่จะอยากเป็นประธาน นปช.แม้แต่วันเดียว
นายจตุพร กล่าวว่า ตอนนำนักศึกษาในเหตุการณ์พฤษภา 35 ตนก็เป็นผู้นำนักศึกษาในสถานการณ์ที่ประชาชนเขายกให้มานำและก็สู้จนวินาทีสุดท้าย เป็นจุดเปลี่ยนในเหตุการณ์ขณะนั้น เหตุการณ์คนเสื้อแดงตั้งแต่ปี 52 53 ที่มีความตายปรากฏ เราก็อยู่ชุดของคนที่รอด ซึ่งตนมาอภิปรายเสมอว่าเรามีหน้าที่คือการทวงความยุติธรรมให้กับคนที่ตาย
หากยังจำกันได้ว่าหลังเหตุการณ์ปี 53 กระแสคนเสื้อแดงและกระแสพรรคเพื่อไทยถึงจุดต่ำสุด เพราะถูกข้อหาเรื่องล้มล้างสถาบัน เรื่องเผาบ้านเผาเมืองและเรื่องก่อการร้าย หลังจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งแรก หลังจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมก็มีความเข้าใจว่าตนต้องหลบหนี แต่ตนยืนยันและให้เหตุผลว่าหากตนหนีไปแล้วใครจะอยู่ในการทวงหาความยุติธรรมให้กับคนที่เสียชีวิต และระหว่างทางถูกฟ้องดำเนินคดีหลายสิบคดี ปัจจุบันคดีก็ไม่หมดและไม่เคยรอดแม้แต่คดีเดียว
นายจตุพร กล่าวต่อว่า แต่มีการไปอธิบายใส่ความ ใส่ร้าย ว่า ออกมาจากคุกเเล้วจะรอดเพราะไปเจรจาตกลง ซึ่งตนติดคุกรวมกัน 4 รอบ ประมาณ 19 เดือน อีกทั้งยังมีคดีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะให้ทนายความไปยื่นคำร้องขอให้ศาลนับใหม่ ศาลชั้นต้นยกส่วนศาลอุทธรณ์ให้นับไปขณะนี้รอระหว่างฎีกา
นอกจากนี้ ยังมีศาลแพ่งอีก 2 คดี ซึ่งตนได้อธิบายคำพิพากษาที่ระบุว่า นายจตุพรพูดเหมือนกับที่นายทักษิณ ชินวัตรพูดว่าไม่มีลักษณะยุยงให้คนเผาบ้านเผาเมือง ยกฟ้องนายทักษิณ แต่ให้ลงโทษนายจตุพร เพราะเป็นประธาน นปช. ซึ่งขณะนั้นในปี 2553 ตนไม่ได้เป็นประธาน นปช. ดังนั้นทั้ง 2 สำนวนเฉพาะดอกเบี้ยกว่า 100 ล้านบาท เรื่องเหล่านี้หลังออกจากคุกมาแล้วทั้งสิ้น ดังนั้นอยากถามว่าตนรอดอะไรสักเรื่องบ้าง รวมถึงคดีบ้านสี่เสาเทเวศร์ ในสำนวนที่ 2 หากใครได้ไปฟังคดีในสำนวนแรกทุกประโยคคล้องนายจตุพร พรหมพันธุ์ทั้งนั้น ดังนั้นถามว่าตนไปแลกเปลี่ยนอะไรกัน
นายจตุพร กล่าวอีกว่า ในคดีก่อการร้าย ซึ่งศาลชั้นต้นยกฟ้อง แต่ศาลอุทธรณ์รับฟ้องและในขณะนั้น จำเลยในคดีนี้ 4 คนอยู่ระหว่างถูกคุมขัง คือ นาย วีระกานต์ มุสิกพงศ์ นายแพทย์เหวง โตจิราการ นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไท และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ปรากฏว่าไม่ได้รับหมายอุทธรณ์ที่อัยการอุทธรณ์มาทางศาล ดังนั้นเมื่อไม่ได้รับหมายจึงขยายอุทธรณ์ไม่ได้ และเมื่อไม่ได้อุทธรณ์ เท่ากับว่าอุทธรณ์ไม่ได้ ตนก็ยื่นคำขาดไปว่า หากทั้ง 4 คนไม่ได้รับ การพิจารณาอุทธรณ์ ตนก็จะไม่ยื่นอุทธรณ์เช่นกัน เนื่องจากอยู่ในเหตุการณ์เดียวกัน ปล่อยให้ศาลตัดสินไปเลย
“สิ่งที่ตนอยากจะบอกในวันนี้ว่า เราพยายามประคับประคองทุกสถานการณ์ และตนก็เป็นนายจตุพรเหมือนเดิม ร้องเพลงเดิมทุกอย่าง เพียงแต่อายุมากขึ้น ก็ต้องลดคีย์ลงมาบ้าง แต่เนื้อเพลงเหมือนเดิม ส่วนทิศทางของ นปช.จะเป็นอย่างไรนั้น ตนจะเดินสายคุยกับแกนนำ แต่ส่วนตัวเห็นว่าควรจะยุติองค์กร นปช.ให้เป็นตำนาน” นายจตุพร กล่าว
นายจตุพรยังย้ำในตอนท้ายอีกว่าทุกอย่างที่สู้กันมานั้น ไม่มีอะไรติดยึด ทุกอย่างมันคือหัวโขน หากติดยึด มันต้องติดยึดกันมาตั้งแต่วัยเด็ก ไม่ใช่มาติดเอาตอนแก่