วันอาทิตย์, พฤศจิกายน 24, 2024
spot_img
หน้าแรกNEWSศึกซักฟอกวันที่ 2 “พท.”ลากไส้“จุรินทร์” งัดข้อมูลใหม่“โกงถุงมือยาง”ภาค 2  
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

ศึกซักฟอกวันที่ 2 “พท.”ลากไส้“จุรินทร์” งัดข้อมูลใหม่“โกงถุงมือยาง”ภาค 2  

เลขาธิการเพื่อไทย “ประเสริฐ” เปิดแผลทุจริตถุงมือยางภาค 2 แฉเส้นทางการเงินโยงเอกชน ซัด “จุรินทร์” ไม่เร่งอายัดเงิน-ช่วยคนใกล้ชิด

เมื่อวันที่ 20 ก.ค.65 ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร วาระพิจารณาญัตติขอเปิดการอภิปรายทั่วไป เพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 151 จำนวน 11 คนต่อเป็นวันที่ 2 ซึ่งมีนายศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2 ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม เพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไป เพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล

นายศุภชัยได้แจ้งที่ประชุมว่า วันนี้ (20 ก.ค.) ฝ่ายค้านจะเริ่มอภิปรายฯ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ ตามด้วยนายนิพนธ์ บุญญามณี รมช.มหาดไทย นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย และพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม สำหรับการอภิปรายฯ วันแรก เมื่อวันที่ 19 ก.ค.ที่ผ่านมา ได้ใช้เวลาไปแล้ว 14 ชั่วโมง 10 นาที แบ่งเป็นคณะรัฐมนตรี (ครม.) ใช้เวลาไปแล้ว 2 ชั่วโมง 18 นาที พรรคร่วมรัฐบาลใช้เวลาไป 12 นาที พรรคร่วมฝ่ายค้านใช้เวลา 11 ชั่วโมง 18 นาที จึงเหลือเวลา 33 ชั่วโมง 41 นาที ขณะที่ประธานที่ประชุมใช้เวลาไป 21 นาที

จากนั้น นายประเสริฐ จันทร์รวงทอง ส.ส.นครราชสีมา และเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวอภิปรายนายจุรินทร์ถึงเรื่องการทุจริตถุงมือยาง ว่า พล.อ.ประยุทธ์รู้ถึงปัญหาการทุจริตการจัดซื้อถุงมือยาง ภาค 2 ในองค์การคลังสินค้า (อคส.) กระทรวงพาณิชย์ เป็นอย่างดีว่าสร้างความเสียหายเป็นเงิน 2,000 ล้านบาท แต่กลับเพิกเฉยจนทำให้เกิดความเสียหาย ปัจจุบันยังไม่สามารถติดตามเงินที่หายไป 2,000 ล้านบาทกลับมาได้ พล.อ.ประยุทธ์ไม่กล้าปลดนายจุรินทร์ออกจากตำแหน่ง เพราะเกรงว่านายจุรินทร์จะถอนตัวการร่วมรัฐบาล ส่งผลให้สถานะในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ไม่มั่นคง พล.อ.ประยุทธ์จึงจำเป็นต้องไม่ใส่ใจต่อการทุจริตที่เกิดขึ้น นายจุรินทร์ไม่มีความซื่อสัตย์เป็นที่ประจักษ์ ปล่อยให้เกิดการทุจริต เนื่องจากกลุ่มผู้ที่กระทำทุจริตเป็นคนใกล้ชิด และเป็นผู้ที่นายจุรินทร์แต่งตั้ง รวมถึงไม่เร่งอายัดเงิน แต่ทอดเวลาจนในที่สุดกลุ่มผู้กระทำการทุจริตได้นำเงินที่ได้นั้นไปทำการฟอกเงิน กระจายเงินไปตามบัญชีต่างๆจนไม่สามารถติดตามได้ ซึ่งการอภิปรายฯครั้งนี้มีข้อมูลใหม่เกี่ยวข้องกับพฤติการณ์การฟอกเงิน

โดยมีเส้นทางการเงินของบริษัท การ์เดียน โกลฟส์ จำกัด ว่ามีการโอนเงินไปให้ใคร องค์การคลังสินค้าได้ทำสัญญาขายถุงมือยาง จำนวน 7 สัญญา มูลค่า 186,100 ล้านบาท สร้างข้อมูลอันเป็นเท็จว่ามีการสั่งซื้อจากบริษัท 7 แห่งจำนวนมาก เพื่อต้องการอ้างเหตุว่ามีออเดอร์ โดยจัดซื้อจากบริษัทการ์เดียน โกลฟส์ จำกัด จำนวน 500 ล้านกล่อง กล่องละ 225 บาทมูลค่า 112,500 ล้านบาท ปัจจุบันได้รับเงินมัดจำไปแล้ว 2,000 ล้านบาท จากองค์การคลังสินค้า แต่อคส.ยังไม่ได้รับมอบถุงมือยาง และปัจจุบันได้ยกเลิกสัญญาแล้ว

จากการอภิปรายฯ ครั้งที่ผ่านมาเมื่อวันที่ 18 ก.พ.64 เห็นได้ชัดว่าการทุจริตเกิดขึ้นจริง เงิน 2,000 ล้านบาท ยังติดตามคืนไม่ได้ ผู้เกี่ยวข้องกับการทุจริตยังใช้ชีวิตหรูหรา ใช้นาฬิกายี่ห้อริชาร์ด มิลล์ ซื้อรถแลมโบกินี รถบีเอ็มดับเบิลยู และบ้านใหม่หลายล้านบาท ลอยนวลในสังคมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น โดยตนได้ยื่นคำร้องต่อ ป.ป.ช. เมื่อวันที่ 10 มี.ค.64 ต่อมา ป.ป.ช.ได้ทำบันทึกแจ้งข้อกล่าวหาผู้เกี่ยวข้องเมื่อวันที่ 6 ก.ย.64 จำนวน 22 ราย มีการไต่สวนเบื้องต้นเห็นว่ามีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะสนับสนุนข้อกล่าวหาว่ามีมูลความผิดจริงจน ป.ป.ช.แจ้งข้อกล่าวหา

โดยเฉพาะอย่างยิ่งนายสุชาติ เตชจักรเสมา ประธานบอร์ด อคส. แต่นายจุรินทร์ปล่อยให้ทำหน้าที่ต่อไปจนหมดวาระ และไม่มีการตั้งกรรมการสอบสวน อีกทั้ง ในการแต่งตั้ง ผอ.อคส.คนใหม่ นายจุรินทร์เลือกคนที่สนิทสนมกับครอบครัวนายจุฤทธิ์ ลักษณวิศิษฏ์ รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ และเป็นน้องชายของนายจุรินทร์ เมื่อนายจุรินทร์ทราบว่ามีการทุจริตเกิดขึ้นจริง แต่ไม่อายัดเงินให้ทันสถานการณ์ส่งผลให้เกิดความเสียหาย โดยผู้กระทำความผิดมีการฟอกเงิน 2,00 ล้านบาทอย่างเปิดเผย ไร้ยางอายตั้งแต่วันที่ 2 ก.ย.63 มีการสร้างหลักฐานอันเป็นเท็จในการอออกหนังสือรับรองยอดเงินฝาก จนกระทั่งวันที่ 29 ก.ย.63 ป.ป.ช.มีมติอายัดบัญชีเงินดังกล่าว

“เส้นทางการเงิน 2,000 ล้านบาท กลุ่มผู้ทุจริตเบิกเงินสด โอนเงินสด สร้างนอมินีรับเงินโอนหรือบัญชีม้าลักษณะปกปิด อำพราง เพื่อนำเงินไปแบ่งปันผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน โดยบริษัทการ์เดียนฯ การถอดเงินสด 56.33 ล้านบาท ตั้งแต่วันที่ 3 ก.ย.-3 พ.ย.63 จากธนาคาร และโอนเงินให้นิติบุคคลอย่างมีข้อพิรุธ 967.17 ล้านบาท ซึ่งผมสงสัยว่าเงินเหล่านี้อาจบินกลับมากระทรวงที่ตั้งอยู่ที่สนามบินน้ำ รวมทั้งโอนเงินให้บุคคลต่างๆ กว่า 40 บัญชี 151 ล้านบาท และบุคคลต่างๆไม่อยู่ในสถานะที่จะรับเงินได้ จึงน่าสงสัยว่าเกี่ยวพันกับการฟอกเงิน โดยมีบุคคลหนึ่งคอยประคับประคองตั้งแต่วันทำสัญญา การเบิกเงิน และเกี่ยวกันกับการทุจริตได้รับเงินสด 19 ล้านบาท เป็นการตอบแทนบุญคุณ ทำให้เห็นแล้วว่าเงินที่โอนไปไม่ได้ชำระค่าสินค้า ไม่ได้ชำระค่าถุงมือยาง เป็นการทุกธุรกิจผิดปกติถอนเงินไปแบ่งปันซึ่งกันและกัน หากนายจุรินทร์รีบอายัดเงินความเสียหายจะไม่เกิดขึ้น แต่ทอดเวลา ละเว้นปล่อยปละละเลยให้ผู้ทุจริตนำเงินไปใช้ อีกทั้งยังมีการโยกย้ายเงินเพื่อออกหนังสือรับรองเงินฝากด้วย แบบถอนเข้าถอนออก เพื่อสร้างหลักฐานรับรองยอดเงินฝาก อย่างไรก็ตาม หลังจากวันนี้ตนจะนำข้อมูลใหม่ในคดีทุจริตจัดซื้อถุงมือยางไปยื่น ป.ป.ช.อีกครั้ง” เลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าว

ต่อมา นายจุรินทร์ได้ลุกขึ้นชี้แจงว่า สิ่งที่นายประเสริฐพูดไปนั้นเกือบทั้งหมดเป็นการฉายหนังเก่า เป็นเรื่องที่เคยพูดในการอภิปรายฯครั้งที่แล้ว แต่ครั้งนี้นายประเสริฐมาเติมแค่ว่าเรื่องยังไม่มีความคืบหน้า และกล่าวหาว่าตนไม่กล้าจัดการอะไรกับประธานบอร์ด อคส. แต่ตนขอยืนยันว่าสิ่งที่นายประเสริฐกล่าวหานั้นไม่เป็นความจริง อีกทั้งนายประเสริฐโกหกกลางสภาโดยอ้างผลงานว่าจากที่ไปยื่นเรื่องต่อ ป.ป.ช.แล้ว ป.ป.ช.ได้นำไปดำเนินการไต่สวน 22 ราย และการสอบสวนเรื่องนี้มีความก้าวหน้า ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่เป็นความเป็นจริง เพราะการไต่สวนของ ป.ป.ช.ไม่ได้ใช้สำนวนของนายประเสริฐ แต่ใช้สำนวนที่ อคส.ยื่นให้ ป.ป.ช.ดำเนินการสอบสวนการทุจริตเรื่องนี้ แล้วมีความคืบหน้า ซึ่งคาดว่าจะมีการชี้มูลในเร็วๆนี้ แต่ที่สำคัญ ตนไม่ได้เกี่ยวข้องร่วมกระบวนการกระทำทุจริต เพราะ ป.ป.ช.ยังไม่เคยเรียกตนไปชี้แจง และทันทีที่ตนได้ทราบเรื่องการทุจริต ก็เร่งเข้าไปจัดการและมีความคืบหน้ามาเป็นลำดับ

ภารกิจของ อคส.ในการต้องทวงเงินคืนจากการทุจริตในกรณีที่ อคส.เป็นเจ้าของเรื่อง โดยมีเงิน 3 ก้อนใหญ่ๆที่ อคส.ต้องดำเนินการ และทุกกรณีมีความคืบหน้า คือ 1.เงิน 2,000 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย ที่เกิดจากการทุจริตการจัดซื้อถุงมือยาง 2.เงิน 504,861 ล้านบาทที่อคส.ต้องเรียกค่าเสียหายคืนจากการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าวในสมัยที่พวกของนายประเสริฐเป็นรัฐบาล ซึ่งตนไม่เห็นพวกท่านทวงถามเลยว่าทำไมการเรียกเงินค่าเสียหายนี้มีความล่าช้า 3.เงิน 33,000 ล้านบาท ที่มาจากการทุจริตการรับจำนำมันสำปะหลัง ในสมัยที่พวกของนายประเสริฐเป็นรัฐบาลเช่นกัน โดยการทุจริตการจัดซื้อถุงมือยางเกิดเพราะอดีตรักษาการผู้อำนวยการ อคส.ทำสัญญาขายถุงมือยางให้กับ 7 บริษัท เป็นเงิน 225,000 ล้านบาท จากนั้นได้ทำสัญญาซื้อถุงมือยางกับบริษัท การ์เดียน โกลฟส์ จำกัด เป็นเงินประมาณ 110,000 ล้านบาท เพื่อใช้เป็นเงื่อนไขขอเบิกเงิน 2,000 ล้านบาท จาก อคส.โดยอ้างว่านำไปจ่ายมัดจำ ซึ่งเงินดังกล่าวถูกเบิกออกจากบัญชีเมื่อวันที่ 2 ก.ย. 2563 แต่เมื่อ ผอ.อคส.คนใหม่เริ่มทำหน้าที่ไปประมาณ 1 สัปดาห์ ได้รายงานให้ตนทราบเมื่อวันที่ 14 ก.ย. 2563 ว่าพบเงินหายไป 2,000 ล้านบาท และในวันดังกล่าว นายกรัฐมนตรีได้ออกคำสั่งย้าย พ.ต.อ.รุ่งโรจน์ พุทธิยาวัฒน์ รักษาการผู้อำนวยการ อคส.ในขณะนั้น ไปอยู่สำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งถ้านายกรัฐมนตรีและตนละเลยการปฏิบัติหน้าที่ คำสั่งดังกล่าวจะออกมาได้อย่างไร

นายจุรินทร์ กล่าวว่า ต่อมาเมื่อวันที่ 15 ก.ย.63 ผอ.อคส.ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ตามด้วยในวันที่ 18 ก.ย. 2563 ผอ.อคส.ไปแจ้งความต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ให้ดำเนินคดีกับอดีตรักษา ผอ.อคส.กับพวก และยังไปแจ้งความต่อสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ให้ตรวจสอบเส้นทางการเงินของบุคคลกลุ่มดังกล่าวและอายัดเงินในบัญชีด้วย จากนั้น ผอ.อคส.ยื่นเรื่องต่อ ป.ป.ช. เมื่อวันที่ 23 ก.ย.63 ซึ่งหลังจาก ป.ป.ช.ไต่สวนแล้ว ได้มีมติให้อายัดเงิน 2,000 ล้านบาทในบัญชี ตั้งแต่วันที่ 29 ต.ค.63 ขณะที่คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงได้พบการกระทำทุจริตและชี้มูลความผิด 3 ราย คืออดีตรักษาการ ผอ.อคส. และเจ้าหน้าที่อีก 2 รายที่ตนไม่ขอเอ่ยชื่อ จากนั้น ผอ.อคส.ได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัย อย่างไรก็ตาม หลังจากที่นายประเสริฐได้เคยนำเรื่องนี้มาอภิปรายตนเมื่อเดือน ก.พ.64 การดำเนินคดีในการทุจริตจัดซื้อถุงมือยางนั้น ทุกอย่างมีความคืบหน้า ส่วนที่กล่าวหาว่าตนสนิทกับคนนั้นคนนี้ก็ไม่เป็นความจริง ตนได้สั่งการ ผอ.อคส.ให้ดำเนินคดีทางแพ่งและอาญา รวมถึงให้ความร่วมมือกับ ป.ป.ช.และ ปปง. รวมถึงให้ติดตามเรื่องแล้วนำมารายงานให้ตนทราบเป็นระยะๆ

แต่จากการที่คณะกรรมการสอบสวนทางวินัยมีมติลงโทษทางวินัยและสั่งให้ไล่ออกข้าราชการ 3 ราย ได้เกิดปัญหากรณีของรักษาผอ.อคส.ที่ถูกสั่งย้ายให้ไปประจำสำนักนายกรัฐมนตรี อคส.จึงต้องสอบถามสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งได้รับคำตอบมาว่าต้องให้อำนาจหน้าที่สอบสวนทางวินัยในเรื่องนี้เป็นของปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีโดยใช้ระเบียบของอคส.มาดำเนินการ ต่อมาปลัดสำนักนายกฯได้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัย พ.ต.อ.รุ่งโรจน์ โดยมีผู้ตรวจราชการสำนักนายกฯเป็นประธาน ซึ่งจะต้องติดตามผลกันต่อไป ส่วนการติดตามทวงเงิน 2,000 ล้านบาทบวกดอกเบี้ยคืนนั้น ผอ.อคส.ได้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนความรับผิดทางละเมิด ซึ่งพบว่าผู้ที่ต้องชดใช้เงินนี้มี 2 กลุ่ม คือ 1.กลุ่มที่กรรมการฯชี้ว่าเจตนาทำให้รัฐเสียหาย มี 4 ราย ซึ่งประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ 3 รายที่ถูกชี้มูลความผิดทางวินัย บวกกับประธานบอร์ดอคส. ทั้งหมดต้องร่วมกันชดใช้คนละประมาณ 400 ล้านบาท รวมเป็นเงิน 1,603 ล้านบาท นี่จึงแสดงให้เห็นว่าประธานบอร์ดอคส.ต้องชดใช้ในข้อหาเจตนาทำให้รัฐเกิดความเสียหาย และ 2.กลุ่มที่ถูกชี้ว่าประมาทเลินเล่อร้ายแรง มี 3 ราย ต้องชดใช้คนละ 133.6 ล้านบาท รวมเป็นเงิน 400.8 ล้านบาท เมื่อรวม 2 กลุ่ม จึงเป็นเงิน 2,000 ล้านบาทบวกดอกเบี้ย ซึ่งตามกระบวนการชดใช้ดังกล่าวตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดเจ้าหน้าที่ของรัฐ มีกระทรวงการคลังเป็นผู้ชี้ขาดตามกฎหมาย โดยได้ส่งเรื่องนี้ไปยังกระทรวงการคลังแล้วตั้งแต่วันที่ 3 ก.พ.65

กรณีที่ประธานบอร์ด อคส. ต้องร่วมชดใช้ด้วยนั้น ผอ.อคส. เสนอให้ตนลงนามแต่งตั้งคณะกรรมการสอบความรับผิดทางละเมิด เมื่อวันที่ 30 พ.ค.65 ซึ่งตนลงนามแล้ว และขณะนี้คณะกรรมการฯได้แจ้งข้อกล่าวหาต่อประธานบอร์ด อคส. จึงแสดงให้เห็นว่าไม่ได้เป็นตามข้อกล่าวหาที่ว่าตนปกป้องคนใกล้ชิดที่ร่วมทุจริต อีกทั้งผู้ช่วยเลขาธิการป.ป.ช.เปิดเผยผ่านสื่อว่าการไต่สวนคดีทุจริตถุงมือยางเสร็จแล้ว กำลังจะเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของกรรมการ ป.ป.ช. ต่อไป สิ่งเหล่านี้จึงถือเป็นความคืบหน้าทางแพ่งและอาญามีผู้ที่ต้องมาชดใช้ สำหรับเงินก้อนที่ 2 คือเงิน 504,861 ล้านบาท จากการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าวซึ่งเป็นสิ่งที่พวกท่านสร้างไว้ รวมมีการดำเนินคดีทางแพ่งและอาญา 1,180 คดี

ปรากฏว่า นายประเสริฐได้ลุกขึ้นประท้วงว่า รมว.พาณิชย์ ตอบในสิ่งที่ตนไม่ได้ถาม แต่ตอนนี้ประชาชนอยากฟังนายจุรินทร์ตอบเรื่องการทุจริตถุงมือยางและเส้นทางการเงิน ไม่ใช่เอาเรื่องอื่นมากลบหรือเอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่น

จากนั้น นายจุรินทร์ กล่าวว่า ตนไม่ได้เอาชั่วใส่ใคร ถ้าชั่วจริง มันก็ต้องชั่ว การดำเนินการคดีทางกฎหมายต้องเกิดครับ เหมือนกับการทุจริตการจัดซื้อถุงมือยาง ถ้าทุจริตจริงก็ต้องบริหารจัดการ แล้วเส้นทางการเงินที่ท่านพูดนั้น ป.ป.ช.และ ปปง.กำลังดำเนินการ และการที่ตนต้องชี้แจงเรื่องทุจริตจากการรับจำนำข้าวด้วย เพราะฝ่ายค้านเขียนไว้ในญัตติว่าตนมีพฤติกรรมปล่อยปละละเลย ไม่ติดตามแก้ไขปัญหาการทุจริตเพื่อให้มีการชดใช้ความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่รัฐหรือ อคส. คดีมีทุจริตในการรับจำนำข้าว ทำให้ อคส.ต้องทุ่มเทสรรพกำลังไปใช้กับการดำเนินคดีที่พวกท่านก่อไว้ 10 ปีแล้ว และคดียังอยู่ในศาลคืบหน้าไปเป็นลำดับ ก้อนที่ 3 ประมาณ 33,000 กว่าล้านบาท จากการทุจริตการรับจำนำมันสำปะหลังที่เกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลของพวกท่านด้วย อคส.ต้องทุ่มเทสรรพกำลังฟ้องร้องแล้ว 164 คดี เรียกค่าเสียหาย 20,065 ล้านบาท ศาลจำคุกแล้ว 26 คดี แต่เรื่องยังไม่จบ

“ผมสั่งเร่งรัดทั้ง 3 ก้อน ไม่ได้เลือกที่รักมักที่ชัง เพราะนี่คือหน้าที่ที่ท่านบอกว่าผมละเลยไม่สนใจติดตามไงครับ เพื่อจะบอกว่าไม่จริง ผมสนใจติดตามทั้ง 3 ก้อน เพราะนี่คือเงินของรัฐตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ ต้องไปตามเอาคืนมาให้กับ อคส.และแผ่นดิน ส่วนท่านจะส่ง ป.ป.ช.ก็ดีครับ ไม่มีปัญหาเลย จะได้ช่วยกันตรวจสอบการทุจริต ไม่ว่าที่ไหนก็ตาม ผมพร้อมให้ความร่วมมือ ท่านไม่ต้องห่วงหรอกครับ” นายจุรินทร์ กล่าว…

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img