‘หมอยง’ เผยผลสำรวจ ฉีดวัคซีนโควิดเด็กชี้ผู้ปกครองต้องการให้ฉีดไฟเซอร์มากสุด ฉีดสลับน้อยสุด
เมื่อวันที่ 14 ก.พ.65 ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะด้านไวรัสวิทยา คลินิกภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ เฟซบุ๊ก ‘Yong Poovorawan’ ความว่า โควิด 19 วัคซีน การฉีดวัคซีนเป็นไปด้วยความสมัครใจ
การรับวัคซีนป้องกัน covid 19 ในประเทศไทยเป็นไปตามความสมัครใจ การศึกษานี้ให้นักเรียนมัธยมปลาย 4 ราย ฝึกการทำวิจัย แบบสอบถาม และวิเคราะห์ข้อมูล เป็นการสอนให้คิดและวิเคราะห์เป็น
เราเริ่มให้วัคซีนในเด็กอายุ 5- 11 ปี ได้เริ่มขึ้นแล้ว ดังได้เคยกล่าวมาแล้วว่าเด็กจะเป็นกลุ่มท้ายท้ายที่ควรจะได้รับวัคซีน
จากแบบสอบถามความสมัครใจในผู้ปกครองที่มีบุตรหลานอายุ 5 ถึง 11 ปี ถึงความสมัครใจในการรับวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ในประเทศไทย โดยผ่านทางสื่อสังคม ในช่วงวันที่ 11-13 กุมภาพันธ์ 2565
มีผู้ปกครองตอบคำถามมาทั้งสิ้น 3,588 คน ผลที่ได้ พอจะประเมินได้ดังแสดงในรูป
ผู้ตอบแบบสอบถามมีหลากหลายอาชีพ โดยเป็นบุคลากรทางการแพทย์ รับราชการ ธุรกิจส่วนตัว บริษัทเอกชน และแม่บ้าน และอื่นๆ อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯมากที่สุด จังหวัดอื่นๆโดยเฉพาะปริมณฑล และกระจายเกือบทั้งประเทศ
ผู้ปกครอง (3,588 คน) จะอนุญาตให้ บุตรหลานที่อายุ 5 ถึง 11 ปี รับวัคซีนป้องกัน covid 19 ร้อยละ 75.3 และไม่ขอรับวัคซีนร้อยละ 24.7
ในจำนวนที่จะไปรับวัคซีน (2,700 ราย) ชนิดของวัคซีนที่ต้องการ ตามที่ขึ้นทะเบียนจาก อย. จะเป็น pfizer ร้อยละ 59.2 sinopharm 30.7 %, sinovac 5.6 %, และฉีดสลับชนิดของวัคซีน 4.6 %
จากข้อมูลทั้งหมดแสดงให้เห็นว่า ความต้องการที่จะฉีดวัคซีนให้เด็กยังอยู่ในเกณฑ์ประมาณ 3 ใน 4 และการเลือกฉีดชนิดของวัคซีนก็มีความหลากหลาย
ที่น่าสนใจคือคำถามปลายเปิด โดยเฉพาะผู้ที่ไม่ต้องให้กับบุตรหลานไปรับวัคซีน ส่วนใหญ่จะคำนึงถึงอาการข้างเคียง และผลระยะยาวของวัคซีน การให้ความรู้ ประโยชน์ ผลที่ได้รับ และอาการข้างเคียงที่จะเกิดขึ้นจากวัคซีน ในวัคซีนชนิดต่างๆ จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการช่วยการตัดสินใจของผู้ปกครอง