“พล.อ.ประวิตร” นั่งหัวโต๊ะขับเคลื่อน ยกระดับ กทม.เป็นมหานคร ทันสมัยระดับโลก เห็นชอบโครงการเร่งด่วน จังหวัด/กลุ่มจังหวัด/พื้นที่ภาคกลาง มุ่งส่งเสริมศก./สังคม ประชาชนได้รับประโยชน์รองรับผลกระทบโควิด-19
เมื่อวันที่ 15 ม.ค.พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม คณะอนุกรรมการบูรณาการนโยบายพัฒนาภาคกลาง (อ.ก.บ.ภ. ภาคกลาง) ครั้งที่ 1/2564 ผ่าน ระบบวิดีทัศน์ทางไกล ณ ห้องประชุม 521 อาคาร สศช. โดยที่ประชุม ได้รับทราบมติ คกก.บูรณาการนโยบายพัฒนาภาค (ก.บ.ภ.) เห็นชอบ นโยบายหลักเกณฑ์ และวิธีการจัดทำแผนพัฒนาจังหวัด และแผนพัฒนากลุ่มจังหวัด ประจำปีงบประ มาณ 65 โดยกำหนดสัดส่วน การจัดสรรงบประมาณจังหวัด ต่อ กลุ่มจังหวัดเป็น 70 : 30
ทั้งนี้ งบประมาณของจังหวัดให้เสนอโครงการไม่น้อยกว่า 1.5 เท่า แต่ไม่เกิน 2 เท่า ของกรอบการจัดสรร สำหรับของกลุ่มจังหวัด กำหนดสัดส่วนการจัดสรรงบประมาณเป็น 2 ส่วน คือร้อยละ 50 : 50 ได้แก่ ส่วนที่ 1) ขับเคลื่อนแผนการพัฒนากลุ่มจังหวัด ตามความต้องการรายพื้นที่ เสนอโครงการไม่น้อยกว่า 1.5 เท่าแต่ไม่เกิน 2 เท่า ของกรอบการจัดสรร ส่วนที่ 2) ขับเคลื่อนแผนพัฒนาฯในลักษณะ cluster หรือตอบสนองนโยบายสำคัญของรัฐบาลเชิงพื้นที่ โดยจะไม่มีการกำหนดกรอบการจัดสรรแต่ละกลุ่มจังหวัด แต่ให้พิจารณาเป็นรายโครงการ
ที่ประชุม ได้ร่วมพิจารณาเห็นชอบ แผนปฏิบัติการภาคกลาง และพื้นที่ กทม. ประจำปีงป.65 โดยมีแผนงานโครงการที่ผ่านความเห็นชอบจาก รัฐมนตรีเจ้ากระทรวง รวม 12 กระทรวง 2 รัฐวิสาหกิจ และ 7 องค์การมหาชน จำนวน 258 โครงการ โดยเห็นชอบสนับสนุนงบเบื้องต้น 90 โครงการ และเห็นชอบแผนปฏิบัติราชการ ของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด ภาคกลางประจำปีงป.65 ทั้งนี้จังหวัดในภาคกลาง 17 จังหวัด ได้รับความเห็นชอบภายในกรอบวงเงิน 209 โครงการ และเกินกรอบวงเงิน 36 โครงการ สำหรับกลุ่มจังหวัดในภาคกลาง ซึ่งแบ่งเป็น 4 กลุ่ม โดยส่วนที่ 1) ได้รับความเห็นชอบภายในกรอบวงเงิน 21 โครงการ และเกินกรอบ เงิน 10 โครงการ ส่วนที่ 2) ได้รับความเห็นชอบภายในกรอบวงเงิน 4 โครงการ
พล.อ.ประวิตร ได้กำชับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้กำกับ ติดตาม การดำเนินงานตามที่ ก.บ.ภ. กำหนดแนวทางไว้ให้ได้ อย่างถูกต้อง ด้วยความประหยัด โปร่งใส แผนงานไม่ซ้ำซ้อนกัน เพื่อการบูรณาการ การพัฒนาพื้นที่ภาคกลาง ให้บรรลุวัตถุประสงค์ เกิดผลสัมฤทธิ์ เป็นรูปธรรม มุ่งสู่การพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคม อย่างมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ให้ประชาชนได้รับประโยชน์สูงสุด และรองรับผลกระทบโควิด-19 ด้วย ตามนโยบายของรัฐบาลต่อไป