กรณีการวิเคราะห์ข่าวว่า “กัมพูชา” อาจใช้ “นักรบต่างชาติ” ในการทำ สงครามชายแดนไทย เนื่องจากปรากฎหลักฐานเป็น “โดรนกามิกาเซ่” ที่ใช้ไฟเบอร์ออปติกในการสั่งการ ทำให้เครื่องแจมเมอร์ตัดสัญญาณ ไม่สามารถใช้ป้องกันโดรนประเภทนี้ได้
แน่นอนว่า ขณะนี้มีการพุ่งเป้านักรบกลุ่มนี้ ว่ามาจากสมรภูมิยูเครน-รัสเซีย จากยุทโธปกรณ์ที่ตรวจพบ ที่มีลักษณะตรงกับโดรน FPV จากยูเครน
โดยพบผู้เชี่ยวชาญด้านโดรนกามิกาเซ่ แฝงตัวเข้าประเทศกัมพูชา ในลักษณะนักกีฬาโดรน ช่างเทคนิค หรือที่ปรึกษา และมีการใช้คำสั่งเสียงภาษาอังกฤษว่า “Finished” ที่เป็นสำนวนนักบินโดรน FPV จากยูเครน
ทาง “หน่วยงานความมั่นคง” จึงยกระดับสั่งการ ให้มีมาตรการป้องกัน เฝ้าระวังกลุ่มบุคคล ที่อาจเป็น “นักรบรับจ้าง” หรือ “สายลับ” ในกลุ่มนี้

ขณะเดียวกัน มีการวิเคราะห์เพิ่มเติมไปว่า “กลุ่มคนที่ว่าจ้างนักรบกลุ่มนี้” เข้ามา ใช้โดรนกามิกาเซ่ทำร้ายทหารไทย อาจเป็น “กลุ่มสแกมเมอร์จีนเทา” ที่เสียผลประโยชน์ หลังจากไทยเริ่มพุ่งเป้ากวาดล้างตึกสแกมเมอร์ ที่ใช้เป็นที่มั่นทางทหารกัมพูชา
แหล่งข่าวที่เป็นหนึ่งในหน่วยงานหน้าด่าน ที่มีหน้าที่คัดกรอง เฝ้าระวัง กลุ่มทหารรับจ้าง หรืออาจมีสายลับปะปนเข้ามา ก็คือ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ให้ความเห็นว่า การที่กลุ่มทหารรับจ้างเหล่านี้ จะบินตรงเข้ามาประเทศไทย เพื่อนำยุทโธปกรณ์ เดินทางต่อไปยังประเทศกัมพูชา ถือว่า มีโอกาสน้อย

เพราะการเดินทางจากประเทศไทยไปยังประเทศกัมพูชา ในขณะนี้ต้องใช้ช่องทางธรรมชาติเท่านั้น และในภาวะการสู้รบ ทหารย่อมตรึงกำลังอยู่เต็มพื้นที่ชายแดน ดังนั้น จึงมีความเป็นไปได้ที่ทหารรับจ้างเหล่านี้ อาจเดินทางไปเวียดนาม หรือ ลาว แล้วเข้ากัมพูชา หรือไม่ก็บินเข้ามาเปลี่ยนเครื่องที่ประเทศไทย แล้วต่อเครื่องบินไปยังกัมพูชามากกว่า
ดังนั้น จะเห็นได้ว่า สิ่งสำคัญมากกว่าคือ การบูรณาการด้านข่าวกรอง เนื่องจากบุคคลที่อาจเป็นทหารรับจ้าง เเละเดินทางมาเปลี่ยนเครื่องในประเทศไทยนั้น ทางเจ้าหน้าที่ไม่มีสิทธิ์ไปจับกุมตรวจค้น เพราะถือว่ายังไม่ได้เดินทางเข้าประเทศไทย
แต่หากหน่วยข่าวกรองไทย มีความแม่นยำด้านข่าวกรอง มีการตรวจสอบพบยุทโธปกรณ์ อาทิ เครื่องบังคับวิทยุ หรือโดรนที่ใช้ดัดแปลง ก็อาจประสานงานมายัง สตม. เพื่อคุมตัวบุคคลต้องสงสัยมาซักถามได้
ดังนั้น “การบูรณาการด้านการข่าว” ในช่วงมีศึกสงคราม จึงมีความสำคัญเป็นลำดับต้น ๆ ไม่ใช่การเฝ้าระวังป้องกันที่ปลายเหตุ
…………
คอลัมน์ : The Key Reported by Fah kham-ram



















