ก็…ไม่พลิกโผ!! ไม่หักปากกาเซียน!! อะไร? กับการไปไม่ถึงดวงดาวของ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” กับการเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของไทย ในการลงคะแนนเสียงรอบแรกเมื่อวันที่ 13 ก.ค.ที่ผ่านมา
ผลของการลงคะแนนเสียงหรือการโหวต ให้ “พิธา” ในครั้งนี้ รวมเบ็ดเสร็จได้พียง 324 คะแนนเสียง จากกฎเกณฑ์ที่กำหนดไว้ต้องได้ 376 คะแนนเสียง ถึงจะเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของไทยได้
โดยคะแนนเสียงทั้ง 324 คะแนนเสียง แยกเป็นเสียงสนับสนุนจากบรรดาสมาชิกท่านผู้ทรงเกียรติ หรือบรรดา ส.ส. แบบไม่แตกแถว ที่ 311 เสียง ขณะที่บรรดาส.ว. หรือสมาชิกวุฒิสภา ลงคะแนนเสียงเห็นด้วยเพียง 13 คะแนนเสียง
แม้ตัวนายพิธาเอง จะออกมายอมรับกับผลการลงคะแนนเสียงที่ไม่ได้ตามเป้าหมาย แต่ก็ยังไม่ยอมแพ้ ขอไปหายุทธศาสตร์ เพื่อรวบรวมคะแนนเสียงให้ได้ตามกฎตามเกณฑ์ที่กำหนด ก่อนจะถึงวันโหวตรอบที่ 2 ที่เบื้องต้นคาดกันไว้ในวันที่ 19 ก.ค.นี้
ขณะเดียวกันนายพิธา ก็ยังยึดโยงกับเป้าหมายในเรื่องของการแก้ไขมาตรา 112 แห่งรัฐธรรมนูญ ตามที่ได้สัญญาไว้กับประชาชนในช่วงของการหาเสียง เพราะถือเป็น “สัญญาประชาชน”
ดังนั้น!! ก็ต้องมารอดูกันต่อไปว่า การฝ่าด่านมหาหินในรอบต่อไปจะเป็นไปในทางไหน? 52 เสียงที่ยังขาดอยู่จะใช้วิธีใด เพราะอย่าลืมว่า “ของฟรีไม่มีในโลก” อยู่แล้ว โดยเฉพาะ การทอดไมตรีของ 2 พรรคการเมืองที่ “งดออกเสียง” รวม 35 เสียง กับเสียงส.ว.ที่ไม่มาอีก 44 เสียง
สุดท้าย…การเปลี่ยนฝักเปลี่ยนฝ่าย การพลิกเกม ตามที่มีการวิเคราะห์ วิพากษ์วิจารณ์ จะเกิดขึ้นในการโหวตครั้งที่ 2 หรือครั้งต่อ ๆ ไป หรือไม่?
ทั้งหลายทั้งปวง ก็อย่าลืมว่า “เกมการเมือง” ที่เกิดขึ้นอยู่ ณ เวลานี้ จะทำร้ายเศรษฐกิจ จะทำร้ายประชาชนตาดำ ๆ ไปอีกนานเท่าใด เพราะการเอาชนะคะคาน โดยมีประชาชนเป็นตัวประกันนั้น ไม่เกิดประโยชน์ใด ๆ ทั้งสิ้น
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ที่บรรดาภาคเอกชนจะออกมาตั้งป้อม เรียกร้องว่า ใครจะมาเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่นั้น ไม่มีผลอะไรต่อภาคเอกชนในเวลานี้ เพราะใครจะเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ภาคเอกชนก็พร้อมทำงานร่วมอยู่แล้ว
เพียงแค่…ไม่มีการชุมนุมประท้วง ที่นำไปสู่สถานการณ์ที่รุนแรง เพียงแค่…มีรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาบริหารประเทศให้ “เดินหน้าได้อย่างต่อเนื่อง” ก็เพียงพอแล้ว
อย่าลืมว่า… ประเทศไทย เศรษฐกิจไทย ในช่วงที่ผ่านมาต้องเผชิญภาวะวิกฤติ ต้องบอบช้ำมามากมาย หากยังต้องเผชิญกับความบอบช้ำต่อไปอีก แล้วจะเหลืออะไร?
ขณะเดียวกันประเทศไทยกำลังจะเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่น หากบรรยากาศทางการเมืองไม่น่าอภิรมย์ ไม่ส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาท่องเที่ยว ก็จะยิ่งซ้ำเติมเศรษฐกิจไทยให้ต่ำตมลง
ต้องยอมรับว่าผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่ลุ่มๆ ดอนๆ ทำให้เครื่องยนต์หลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างการส่งออก นั้นถอยหลังเข้าคลอง มีการประเมินกันว่ามูลค่าการส่งออกไทยในปีนี้อาจไม่ขยายตัว หรืออาจติดลบด้วยซ้ำ
ขณะที่การท่องเที่ยวของไทย กำลังพลิกฟื้น ที่ทุกฝ่ายต่างคาดหวังกันว่าในเมื่อเครื่องยนต์หลักเดินหน้าไม่ได้
เครื่องยนต์รอง อย่างการท่องเที่ยวที่สร้างรายได้อย่างน้อยก็กว่า 15% ของจีดีพี ก็จะมาช่วยค้ำยันเศรษฐกิจไทยให้ผงกหัวขึ้น
และ…หากมีรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาโดยเร็ว การเบิกจ่ายงบประมาณ การลงทุนภาครัฐ การบริโภคภาคเอกชน ก็จะเข้ามาเป็นเครื่องยนต์ที่ช่วยกันขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจของไทยเติบโตต่อไปได้
เฉกเช่นนี้… เสน่ห์ ของประเทศไทยก็ยังมี “มนต์ขลัง” เป็นที่ดึงดูดของคนทั่วโลกต่อไป!!
แม้เรื่องของการเมือง ถือเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นในทุกยุคทุกสมัย แต่ถ้า “จบเร็ว” ไม่บานปลาย และ “เข้าทาง”
ฝ่ายที่รอพลิกเกม!! เพื่อให้คนแดนไกลกลับบ้านได้ตามที่ประกาศไว้ ก็ไม่ใช่เรื่อง “เลวร้าย” ที่จะถล่มประเทศไทยให้จมดิ่งไปมากกว่านี้
………………………..
คอลัมน์ : EC Focus by Virgo
สนับสนุนคอลัมน์ โดย E@ บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน)