นายกรัฐมนตรีโต้ข่าวลือนักการเมืองคุมกาสิโนกัมพูชา ชี้ตรวจสอบตามสำนวนไม่ดูชื่อ ใครผิดโดนหมดไม่มีเว้น ย้ำชัดสถานะ “เบน สมิธ” ยังไม่ได้สัญชาติไทยแน่นอน พร้อมเผยเบื้องหลังการทำงานร่วม ปปง.-ดีเอสไอ ปิดชื่อดูพฤติกรรมเพื่อป้องกันการวิ่งเต้นคดี
เมื่อเวลา 12.30 น. วันที่ 26 ธ.ค.68 ที่สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ออกรายการ “โหนกระแส” โดยมีนายกรรชัย กำเนิดพลอย เป็นพิธีกรดำเนินรายการ เพื่อชี้แจงกรณีที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่า รัฐบาลไทยไม่ดำเนินการทำลายพื้นที่ปอยเปต ทั้งที่มีโอกาส พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า มีนักการเมืองไทยเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับกาสิโนในพื้นที่ดังกล่าว รวมถึงมีเครือข่ายสแกมเมอร์พัวพันอยู่ด้วย
นายอนุทิน กล่าวว่า ปอยเปตและอีกหลายพื้นที่ ถูกกองทัพไทยโจมตีเช่นเดียวกัน เนื่องจากฝ่ายทหารพิจารณาว่าเป็นเป้าหมายที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศ พร้อมขออย่าไปมองเพียงว่าเป็นอาคาร โรงแรม บ่อน หรือกาสิโน เพราะในหลายจุดเป็นเพียงเปลือกอาคารที่ใช้ปกปิดศูนย์ปฏิบัติการของขบวนการสแกมเมอร์ และยังมีการใช้เป็นฐานควบคุมอาวุธร้ายแรง ย้ำว่ากองทัพไทยไม่เคยยิงมั่วหรือเลือกเป้าหมายโดยไม่คำนึงถึงความเหมาะสม
นายกรัฐมนตรีระบุว่า ตนในฐานะหัวหน้ารัฐบาล กล้ายืนยันอย่างชัดเจนว่ารัฐบาลชุดนี้ไม่มีความเกรงใจหรือเกรงกลัวใด ๆ ต่อการปราบปรามเครือข่ายอาชญากรรมทางเทคโนโลยีหรือขบวนการสแกมเมอร์ แม้แต่น้อย พร้อมเปิดเผยว่า แม้เดิมจะคิดว่าตนจะทำหน้าที่ได้เพียง 4 เดือน แต่สุดท้ายอยู่ในตำแหน่งได้กว่า 2 เดือน ก็ได้ทำงานอย่างเต็มที่ โดยทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ป.ป.ง.) กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และกองทัพ ได้บูรณาการร่วมกันใช้มาตรการปราบปรามอย่างเข้มข้น
ผลจากการดำเนินการดังกล่าว สามารถยึดและอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับเครือข่ายสแกมเมอร์ได้ประมาณ 3-4 หมื่นล้านบาท ดำเนินคดีผู้เกี่ยวข้องจำนวนมาก รวมถึงเพิกถอนหรือไม่ให้สัญชาติแก่บุคคลที่ไม่พึงประสงค์หลายราย เนื่องจากมีความพัวพันกับขบวนการอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยย้ำว่า กรณีนายเบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์ หรือ เบน สมิธ ยังไม่ได้รับสัญชาติไทย และรัฐบาลก็ยังไม่เคยให้สัญชาติ ยืนยันว่าทุกหน่วยงานดำเนินการตามกฎหมายอย่างเต็มที่
นายอนุทิน กล่าวด้วยว่า หากรัฐบาลมีความเกรงใจหรืออยู่ภายใต้อิทธิพลของกลุ่มอาชญากรเหล่านี้ คงไม่สามารถดำเนินการได้อย่างถึงขนาดนี้ สิ่งที่ฝ่ายปฏิบัติต้องการคือการสนับสนุนจากรัฐบาล ไม่ใช่การทอดทิ้ง แต่ต้องสร้างความเชื่อมั่นและเสริมศักยภาพให้เต็มที่ จึงเกิดการดำเนินการที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยตนไม่ใช่ผู้ลงมือปฏิบัติเอง แต่เป็นผู้มอบนโยบายให้ปราบปรามอย่างเด็ดขาดถึงขั้น “ปราบให้สิ้นซาก”
นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า รัฐบาลใช้แนวทางปิดชื่อดูพฤติกรรม เพราะหากเปิดเผยชื่อก่อน ผู้กระทำผิดมักจะหลบหนี พร้อมย้ำว่ารัฐบาลชุดนี้ไม่มีคำว่าการเมือง มีเพียงคำว่าผิดกฎหมายหรือถูกกฎหมายเท่านั้น หากสำนวนคดีไปถึงใคร ก็ต้องดำเนินคดีกับผู้นั้นอย่างเต็มที่ โดยไม่เคยมีโทรศัพท์จากใครในแวดวงการเมืองโทรมาขอให้ผ่อนปรนหรือชะลอการดำเนินคดี และตนไม่เคยรู้สึกหนักใจหรือกังวลใจในเรื่องดังกล่าว เพราะวางจุดยืนชัดเจนว่าการขอในลักษณะนี้เป็นไปไม่ได้
เมื่อถามถึงกรณีมีภาพถ่ายร่วมเฟรมกับนายเบน สมิธ นายอนุทิน กล่าวว่า หากจะใช้ภาพถ่ายเป็นหลักฐานโยงความผิด ก็คงมีคนอีกจำนวนมากที่เคยถ่ายภาพร่วมกับผู้ถูกดำเนินคดี ซึ่งไม่สามารถนำมาใช้ตัดสินได้ พร้อมระบุว่า ไม่สามารถสาดโคลนใส่ใครได้ ต้องยึดกระบวนการยุติธรรมเป็นหลัก ใครทำผิดก็ต้องรับผิดตามกฎหมาย ส่วนกรณีการให้หรือไม่ให้สัญชาติ ต้องพิจารณาจากพฤติกรรมเป็นสำคัญ โดยนายเบน สมิธ มีหลายสัญชาติ ซึ่งกฎหมายไทยกำหนดให้เหลือเพียงสัญชาติเดียว จึงยังไม่สามารถให้สัญชาติไทยได้
นายกรัฐมนตรี กล่าวย้ำว่า เรื่องคดีความทั้งหมดขึ้นอยู่กับกระบวนการยุติธรรม ใครจะทำอะไรก็ตาม หากถูกต้องตามกฎหมายก็สามารถดำเนินการได้ แต่หากกฎหมายระบุว่าผิด ก็ต้องขยายผลและดำเนินการจนถึงที่สุด
เมื่อถามถึงกระแสข่าวว่ามีทุนของนักการเมืองไทยไปลงทุนในปอยเปต นายอนุทิน กล่าวว่า ได้ยินข่าวลักษณะนี้เช่นกัน แต่หากเป็นการลงทุนในต่างประเทศและไม่ผิดกฎหมาย ก็ไม่สามารถดำเนินการใด ๆ ได้ โดยนักการเมืองต้องแสดงบัญชีทรัพย์สิน ซึ่งไม่พบรายการดังกล่าว อย่างไรก็ตาม หากมีการใช้พื้นที่ในประเทศไทยเป็นฐานกระทำความผิด ไม่ว่าจะเกี่ยวข้องกับนักการเมืองหรือญาติของนักการเมือง หากมีพยานหลักฐานทั้งเส้นทางการเงินและการสื่อสารปรากฏชัด ก็จะถูกดำเนินคดีทุกคนโดยไม่มีข้อยกเว้น
นายกรัฐมนตรี กล่าวทิ้งท้ายว่า ตนไม่ดูชื่อบุคคล แต่ดูที่สำนวนคดี เปิดมาพบใครก็เป็นคนนั้น หากแม้เป็นรัฐมนตรีในคณะของตนเอง ยิ่งต้องดำเนินการอย่างเข้มงวด เพราะถือว่าเป็นการหลอกลวงประชาชน พร้อมยืนยันว่าประชาชนไม่ต้องกังวลเรื่องนี้ การกล่าวหาเพียงการชี้นิ้วไม่เพียงพอ ต้องมีหลักฐานและกระบวนการยุติธรรมรองรับทุกขั้นตอน



















