สวนดุสิตโพลชี้ดัชนีการเมืองส่งท้ายปี 68 ต่ำเตี้ยเหลือ 3.87 คะแนน สะท้อนความไม่เชื่อมั่นการแก้ทุจริต เผยประชาชนตื่นตัวเข้าโหมดเลือกตั้ง 69 หวังรัฐบาลใหม่ชุบชีวิตเศรษฐกิจ ขณะที่ “ณัฐพงษ์” ครองแชมป์บุคคลที่อยากให้เป็นนายกฯ มากที่สุด แต่น่ากังวลคนเกือบ 40% ยังสับสนอำนาจ สว.
เมื่อวันที่ 28 ธ.ค.สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นประชาชนทั่วประเทศ เรื่อง “ดัชนีการเมืองไทย ประจำเดือนธันวาคม 2568” กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 2,151 คน (สำรวจทางออนไลน์และภาคสนาม) ระหว่างวันที่ 22-26
ธันวาคม 2568 พบว่า กลุ่มตัวอย่างให้คะแนนภาพรวมดัชนีการเมืองไทยประจำเดือนธันวาคม 2568 เฉลี่ย 3.87 คะแนน ลดลงจากเดือนพฤศจิกายน 2568 ที่ได้ 3.90 คะแนน ตัวชี้วัดที่ได้คะแนนสูงสุด คือ การมีส่วนร่วมของประชาชน เฉลี่ย 4.46 คะแนน ตัวชี้วัดที่ได้คะแนนต่ำสุด คือ
การแก้ปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน ความโปร่งใส 3.39 คะแนน เมื่อถามถึงการเลือกตั้งในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 พบว่า กลุ่มตัวอย่าง ตั้งใจจะไปใช้สิทธิ ร้อยละ 78.38 และอยากให้รัฐบาลชุดใหม่ดำเนินนโยบายฟื้นฟูเศรษฐกิจมากที่สุด ร้อยละ 34.11 ทั้งนี้บุคคลที่อยากให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป คือ ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ร้อยละ 26.55
และเมื่อถามว่ารู้หรือไม่ว่าการเลือกตั้ง 69 สว.ไม่มีอำนาจในการเลือกนายกรัฐมนตรี กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ตอบว่า รู้ ร้อยละ 62.72 และไม่รู้ ร้อยละ 37.28
ดร.พรพรรณ บัวทอง ประธานสวนดุสิตโพล ระบุว่า ดัชนีการเมืองไทยประจำเดือนธันวาคม 2568 ลดลงเล็กน้อยหลังการยุบสภา สะท้อนการเมืองที่กำลังเคลื่อนเข้าสู่โหมดเลือกตั้ง โดยประชาชนส่งสัญญาณชัดว่าความหวังอยู่ที่
“เศรษฐกิจ” เพราะปัญหาปากท้องยังบีบคั้นชีวิตประจำวัน และพรรคใดเสนอทางออกที่จับต้องได้ แก้ได้จริง ไม่ใช่เพียงนโยบายเฉพาะหน้า ก็อาจได้เปรียบในสายตาผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
ดร.งามประวัณ เอ้สมนึก คณบดีโรงเรียนกฎหมายและการเมือง มหาวิทยาลัยสวนดุสิต กล่าวว่า ดัชนีการเมืองไทยเดือนธันวาคม 2568 มีเพียงไม่กี่ตัวชี้วัดที่ขยับเพิ่มขึ้น คือ “การมีส่วนร่วมของประชาชน” และ“สิทธิ–เสรีภาพ” การขยับดังกล่าวมิได้สะท้อนความสำเร็จของรัฐบาลเดิม
หากสะท้อนการตื่นตัวของสังคมในช่วงหลังยุบสภาและก่อนเลือกตั้ง การเมืองกำลังกลับมาอยู่ในชีวิตประจำวันของผู้คน ผ่านเวทีดีเบตและการถกเถียงสาธารณะ ขณะเดียวกัน ตัวชี้วัดเกือบทั้งระบบกลับปรับลดลงพร้อมกัน ภาพรวมจึงชี้ว่าประชาชนเริ่มรับรู้ว่า “รัฐบาลเดิมกำลังเอาไม่อยู่” ต่ออำนาจนอกระบบและความ ไม่แน่นอนเชิงโครงสร้าง นี่คือเหตุผลเชิงลึกที่ทำให้สังคมไทยกำลังมองหา “ผู้นำทางการเมืองชุดใหม่” ทั้งนี้ แม้ประชาชนกว่า 78% จะตั้งใจไปเลือกตั้ง แต่การเลือกตั้งครั้งนี้ถูกมองเป็นเครื่องมือเพื่อเอาตัวรอดมากกว่าพิธีกรรมประชาธิปไตยเพราะความต้องการอันดับต้นล้วนเป็นเรื่องเศรษฐกิจ ปากท้อง ความปลอดภัย และปัญหาชายแดน สะท้อนการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการโหวตจากความกังวล
มากกว่าการโหวตจากอุดมการณ์ ประชาชนเกือบหนึ่งในห้ายังลังเลต่อทางเลือกผู้นำ และที่น่ากังวลใจอย่างยิ่ง คือ กว่า 37% ยังไม่ทราบว่า สว. ไม่มีอำนาจเลือกนายกรัฐมนตรี แสดงว่าประชาชนยังไม่เข้าใจบทบาทที่แท้จริงของ สว. และ นี่คือภาพของประชาธิปไตยเชิงพิธีกรรมที่ประชาชนยังเข้าไม่ถึงโครงสร้างอำนาจ ดังนั้น การเลือกตั้ง 2569
จึงเป็นการทดสอบว่าระบบการเมืองยังพาประเทศไปสู่ความมั่นคงได้จริงหรือไม่




















