ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 33.55 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย” หลังเงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลง ตามแรงขายทำกำไรสินทรัพย์ในธีม Trump Trades ก่อนที่ตลาดจะรับรู้ผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ ระวังความผันผวน !
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักวิเคราะห์ประจำห้องค้าเงิน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 33.55 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย” จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 33.62 บาทต่อดอลลาร์ โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย ในลักษณะ Sideways Down (กรอบการเคลื่อนไหว 33.53-33.67 บาทต่อดอลลาร์) หลังเงินดอลลาร์ยังคงทยอยอ่อนค่าลง ตามแรงขายทำกำไรสินทรัพย์ในธีม Trump Trades ก่อนที่ตลาดจะรับรู้ผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ
แม้ว่า เงินดอลลาร์จะมีจังหวะแข็งค่าขึ้นบ้าง ตามรายงานดัชนี ISM PMI ภาคการบริการเดือนตุลาคม ที่เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 56 จุด ดีกว่าที่ตลาดคาดไว้พอสมควรก็ตาม นอกจากนี้เงินบาทยังพอได้แรงหนุนจากการรีบาวด์ขึ้นของราคาทองคำ (XAUUSD) เข้าใกล้โซน 2,750 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หลังทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯต่างก็ทยอยปรับตัวลดลงในช่วงหลังตลาดรับรู้รายงานดัชนี ISM PMI ภาคการบริการของสหรัฐฯ
โดยผู้เล่นในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ต่างก็รอลุ้นผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ ทว่าบรรยากาศในตลาดหุ้นสหรัฐฯก็ได้แรงหนุนจากรายงานดัชนี ISM PMI ภาคการบริการเดือนตุลาคมที่ออกมาดีกว่าคาด ทำให้ผู้เล่นในตลาดยังคงเชื่อมั่นต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่อาจขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง ทำให้โดยรวม ดัชนี S&P500 ปิดตลาด +1.23%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 รีบาวด์ขึ้นเพียง +0.06% กดดันโดยแรงขายหุ้น AstraZeneca -8.4% ซึ่งส่งผลให้บรรดาหุ้นกลุ่ม Healthcare ต่างเผชิญแรงขายออกมาบ้าง หลังมีรายงานข่าวว่า ผู้บริหารระดับสูงของ AstraZeneca อาจพัวพันกับคดีฉ้อโกงประกันภัยในจีน ทั้งนี้ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนจากการรีบาวด์ขึ้นของบรรดาหุ้นเทคฯ และการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นกลุ่มพลังงาน
ในฝั่งตลาดบอนด์นั้นพบว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯโดยรวมเคลื่อนไหวในกรอบ sideways แถวโซน 4.30% แม้จะมีจังหวะปรับตัวสูงขึ้นเข้าใกล้โซน 4.40% บ้าง หลังรายงานดัชนี ISM PMI ภาคบริการของสหรัฐฯในเดือนตุลาคม ออกมาดีกว่าคาดพอสมควร ทำให้ผู้เล่นในตลาดทยอยปรับความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด แต่บอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯก็ยังคงไม่สามารถปรับตัวขึ้นต่อเนื่องไปได้ไกล หลังผู้เล่นในตลาดบางส่วนก็รอจังหวะบอนด์ยีลด์ปรับตัวสูงขึ้นในการทยอยเข้าซื้อบอนด์ระยะยาว
โดยเฉพาะในช่วงที่ผู้เล่นในตลาดต่างรอลุ้นผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ และบางส่วนก็เริ่มปรับลดความคาดหวังต่อโอกาสที่โดนัลด์ ทรัมป์ จะชนะการเลือกตั้งสหรัฐฯ เราคงมุมมองเดิมว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯได้ปรับตัวขึ้นกลับสู่ระดับที่มีความน่าสนใจ และมี Risk-Reward ที่คุ้มค่ามากขึ้น ทำให้เราคงแนะนำให้ผู้เล่นในตลาดต่างรอจังหวะบอนด์ยีลด์ ปรับตัวสูงขึ้น เพื่อทยอยเข้าซื้อ (เน้นกลยุทธ์ Buy on Dip)
ทางด้านตลาดค่าเงินนั้น เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลง ตามแรงขายทำกำไรสินทรัพย์ในธีม Trump Trades แม้ว่าเงินดอลลาร์จะมีจังหวะแข็งค่าขึ้นบ้าง หลังรายงานดัชนี ISM PMI ภาคการบริการของสหรัฐฯในเดือนตุลาคม ออกมาดีกว่าคาด ส่งผลให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวลดลงสู่โซน 103.5 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 103.4-103.8 จุด)
ส่วนของราคาทองคำ แม้ว่าจังหวะการปรับตัวขึ้นของเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯอาจกดดันราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) ให้ย่อตัวลงได้บ้าง ทว่า ราคาทองคำยังพอได้แรงหนุนอยู่ ตามความต้องการของผู้เล่นในตลาดเพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนของการเลือกตั้งสหรัฐฯ และสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ส่งผลให้ราคาทองคำ สามารถรีบาวด์ขึ้นและแกว่งตัวแถวโซน 2,750-2,760 ดอลลาร์ต่อออนซ์
สำหรับวันนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ ซึ่งเราประเมินว่าผลการเลือกตั้งอาจจะรู้อย่างเร็วสุดในช่วงบ่ายของวันนี้ แต่ก็มีความเป็นไปได้ว่า การนับคะแนนการเลือกตั้งอาจใช้เวลานานหลายวัน จนกว่าจะรู้ผลการเลือกตั้งได้ เหมือนกับการเลือกตั้งปี 2020 อย่างไรก็ดี ตลาดการเงินอาจเคลื่อนไหวผันผวนสูง ตามการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มผู้ชนะการเลือกตั้งสหรัฐฯ
ส่วนในฝั่งเอเชีย ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญรายเดือนของเวียดนาม อาทิ ยอดค้าปลีก (Retail Sales) ยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production) และอัตราเงินเฟ้อ CPI เป็นต้น ขณะที่ไทย บรรดานักวิเคราะห์ต่างประเมินว่า อัตราเงินเฟ้อ CPI ของไทยในเดือนตุลาคม มีแนวโน้มปรับตัวขึ้นจากเดือนก่อนหน้า สู่ระดับ 0.96% เข้าใกล้กรอบเป้าหมาย 1-3% ของธนาคารแห่งประเทศไทยมากขึ้น หนุนโดยการฟื้นตัวของการบริโภคในช่วงปลายปี ซึ่งส่วนหนึ่งก็ได้แรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล
นอกเหนือจากปัจจัยดังกล่าว เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงินได้
สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท รวมถึงสินทรัพย์อื่นๆ ในตลาดการเงิน มีแนวโน้มเคลื่อนไหวผันผวนสูงกว่าช่วงปกติ ในระหว่างตลาดทยอยรับรู้ผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ โดยการเคลื่อนไหวของเงินบาทอาจผันผวนไปตามแนวโน้มผู้ชนะการเลือกตั้ง โดยจากข้อมูลสถิติในอดีตตั้งแต่การเลือกตั้งปี 2016 พบว่า เงินบาทอาจผันผวนในกรอบ 0.6% ซึ่งอาจดูไม่กว้างมากนัก ทว่าในปัจจุบัน เงินบาทได้อยู่ในช่วงผันผวนสูงกว่าปกติ ทำให้มีโอกาสที่เงินบาทอาจแกว่งตัวในกรอบที่กว้างขึ้นเกิน 2 เท่า จากค่าเฉลี่ยในอดีตได้ เช่น เงินบาทอาจแกว่งตัวในกรอบเกิน 1% หรือ เกิน 40 สตางค์ ได้
เราประเมินว่า หากผลการเลือกตั้งสหรัฐฯเป็นไปตามกรณี Base Case ที่เราประเมินว่า คือ Trump w/Divided Congress ซึ่งเรายอมรับว่า อาจรับรู้แนวโน้มผลการเลือกตั้งประธานาธิบดี ก่อนการเลือกตั้งในส่วนของวุฒิสภาและสภาผู้แทนฯ ได้ ผู้เล่นในตลาดอาจตอบรับ แนวโน้มที่โดนัลด์ ทรัมป์ จะกลับมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยที่ 2 ด้วยการเพิ่มสถานะถือครองสินทรัพย์ให้สอดคล้องกับธีม Trump Trades หนุนให้ เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯอาจปรับตัวสูงขึ้นต่อ กดดันให้เงินบาทมีโอกาสอ่อนค่าลงกลับไปทดสอบโซนแนวต้าน 34.00 บาทต่อดอลลาร์ ได้ไม่ยาก
ในทางกลับกัน หาก กมลา แฮร์ริส สามารถคว้าชัยชนะในการเลือกตั้งได้ โดยเฉพาะในกรณีที่พรรคเดโมแครตสามารถครองเสียงข้างมากในสภาคองเกรสได้สำเร็จ (Democrat Trifecta, Blue Sweep) ก็จะเป็นกรณีที่ยิ่งหนุนให้ผู้เล่นในตลาดเร่งปรับลดสถานะถือครองสินทรัพย์ธีม Trump Trades กดดันให้เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯอาจปรับตัวลดลงได้พอสมควร (เรามอง Asymmetric risk สำหรับเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ โดยการปรับตัวขึ้นอาจไม่มาก เท่าการปรับตัวลดลง) หนุนให้ราคาทองคำมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง พร้อมกับเงินบาทที่อาจแข็งค่าขึ้น จนเสี่ยงทะลุโซนแนวรับหลัก 33.50 บาทต่อดอลลาร์ ได้
ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงในตลาด ลักษณะ Two-Way Volatility ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งสหรัฐฯ ความไม่แน่นอนของสถานการณ์ในตะวันออกกลาง รวมถึงการปรับมุมมองต่อแนวโน้มนโยบายการเงินของบรรดาธนาคารกลางไปมา ทำให้เรายังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้ อย่างไรก็ตาม มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.50-34.00 บาทต่อดอลลาร์ (ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้ผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ ซึ่งอาจสูสีได้พอสมควร)