ถือว่ารวดเร็วผิดคาด สำหรับ กำหนดฟังคำพิพากษาของศาลอาญา ในคดีที่ “ทักษิณ ชินวัตร” ตกเป็นจำเลยใน คดีถูกฟ้องเอาผิดประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และ พ.ร.บ.การกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ฯ กรณีให้สัมภาษณ์สื่อที่เกาหลีใต้ช่วงหลบหนีคดี ที่ถูก “อัยการสูงสุด” ยื่นฟ้องเอาผิด เพราะมีเนื้อหา “พาดพิงสถาบันฯ”
โดยปรากฏว่า หลังการสืบพยานจำเลยเสร็จสิ้นลงเมื่อ 16 ก.ค.ที่ผ่านมา ศาลอาญาก็ประกาศนัดฟังคำตัดสินในวันที่ 22 ส.ค.ทันที
ที่ถือว่ารวดเร็วมาก เพราะคดีดังกล่าว เริ่มสืบพยานโจทก์นัดแรกก็วันที่ 1 ก.ค.ที่ผ่านมานี้เอง เท่ากับกระบวนการทางศาลใช้เวลาแค่ประมาณหนึ่งเดือนเศษ ก็นัดตัดสินเลย
ล่าสุด “ทักษิณ” ให้สัมภาษณ์ด้วยความมั่นใจบนเวที “ปลดล็อกประเทศไทย” ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เมื่อ 17 ก.ค.ที่ผ่านมาโดยระบุว่า “คดี 112 วันที่ 22 ส.ค.ก็จบแล้ว” และหลังจากนั้น จะเดินทางไปต่างประเทศเพื่อไปพบกับเพื่อนนักธุรกิจที่เป็นนักลงทุนชาวสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เพื่อชวนให้มาลงทุนในประเทศไทย
ทั้งนี้ตามข้อกฎหมาย หากวันที่ 22 ส.ค. ถ้าศาลอาญายกฟ้อง ที่ก็คือ ทักษิณ ชนะคดี ก็ทำให้ ทักษิณ ไม่ได้เป็นจำเลยที่ศาลอาญา ทำให้สามารถเดินทางไปต่างประเทศได้อย่างอิสระ ไม่ต้องมายื่นขออนุญาตต่อศาลอาญาเหมือนช่วงเกือบปีที่ผ่านมา ที่ศาลอาญา ไม่ให้ทักษิณออกนอกประเทศก็หลายครั้ง
ถ้าเป็นจริงตามนั้น ต้องดูว่า “อัยการสูงสุด-ไพรัช พรสมบูรณ์ศิริ” จะยื่นอุทธรณ์หรือไม่ เพราะเป็นคนละคนกับตอนที่สั่งฟ้อง “ทักษิณ” คือ “อำนาจ เจตน์เจริญรักษ์” อัยการสูงสุดในเวลานั้น โดยอัยการสูงสุดมีเวลาสามสิบวันในการยื่นอุทธรณ์คดี
ซึ่งแม้ต่อให้ศาลอาญาไม่ยกฟ้อง คืออาจตัดสินว่า ทักษิณมีความผิดแต่ให้รอลงอาญา อัยการสูงสุดก็สามารถยื่นอุทธรณ์ได้ เพื่อให้มีการลงโทษจริง แต่ก็ต้องดูว่า อัยการสูงสุดจะยื่นหรือไม่ยื่น โดยหากไม่ยื่น คดีก็จบ ไม่มีการไปต่อทั้งที่ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาฯ ก็เท่ากับ ทักษิณไม่มีชนักติดหลังเรื่องคดี 112 อีกต่อไปแล้ว
กระนั้นก็ไม่แน่ อาจมีกระแสสังคมกดดัน โดยเฉพาะ “ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล-ทักษิณ” เรียกร้องให้ “อัยการสูงสุด” ยื่นอุทธรณ์เพื่อให้คดีถึงที่สุด จนทำให้ “อัยการสูงสุด” อาจยื่นอุทธรณ์ โดยเมื่อยื่นไปแล้ว จะทำให้ “ทักษิณ” จะมีสถานะตกเป็นจำเลยคดี 112 ในชั้นศาลอุทธรณ์ต่อไป ก็ทำให้การจะออกนอกประเทศ ก็ต้องมาขออนุญาตต่อศาลเหมือนตอนที่คดีอยู่ในชั้นศาลอาญา
ทำให้ก็คาดว่า หากวันที่ 22 ส.ค.นี้ ถ้าศาลอาญายกฟ้อง “ทักษิณ” คงต้องใช้ช่วง “นาทีทอง” ก่อนที่อัยการจะยื่นหรือไม่ยื่นอุทธรณ์ในช่วง 30 วัน “เดินทางออกนอกประเทศ” ให้ “สมใจอยาก” หลังไม่ได้ไปไหนมาไหนแบบอิสระร่วมสองปี นับตั้งแต่กลับมาไทยเมื่อปี 2566
อันเชื่อได้เลยว่า “ทักษิณ” ต้องวางแผนรีบบินไปหา “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” น้องสาวที่ดูไบฯ หรือที่อังกฤษ หลัง 22 ส.ค.โดยเร็วที่สุด
และไม่แน่ เดือน ส.ค.ที่จะถึงนี้ ไม่วันใดก็วันหนึ่ง อาจจะก่อนหรือหลัง 22 ส.ค. อาจจะเป็นวันที่ “ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง” อาจมีการนัดฟังคำสั่งผลการไต่สวนกรณี “การบังคับโทษทักษิณ ชินวัตร” ที่ไปนอนรพ.ตำรวจ 6 เดือน
เพราะว่า สิ้นเดือนนี้ 30 ก.ค. ก็จะเป็นวันสุดท้ายแล้ว ที่ศาลฎีกาฯไต่สวนเรื่องชั้น 14 ของ “ทักษิณ” ถึงตอนนี้ก็เหลือเวลาอีกแค่ 2 นัดเท่านั้น คือวันที่ 25 ก.ค. ที่เรียก ตัวแทนแพทยสภา มาเบิกความ และวันสุดท้าย 30 ก.ค. ที่มีการเรียก “วิษณุ เครืองาม” อดีตรองนายกฯ ในยุครัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ตอนทักษิณเดินทางกลับไทย ตอนนั้นรับผิดชอบกระทรวงยุติธรรม และเดินทางไปที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ในวันแรกที่ “ทักษิณ” เดินทางกลับมา เข้าเบิกความ
คาดหมายกันว่า หลังการไต่สวนวันที่ 30 ก.ค. ศาลฎีกาฯอาจจะนัดฟังคำสั่งศาลฯในวันนั้นเลย ซึ่งคาดหมายกันว่า น่าจะภายในช่วงส.ค.นี้ เช่นเดียวกับที่ศาลอาญานัดฟังคำพิพากษาคดี 112 ของ “ทักษิณ” เพียงแต่ของศาลฎีกาฯ ต้องดูว่าจะนัดฟังคำสั่งก่อนหรือหลัง 22 ส.ค.
หากให้ประเมิน ระหว่าง “คดี 112 ที่ศาลอาญา” กับ “คดีชั้น 14 ที่ศาลฎีกาฯ” ที่ “ทักษิณ” ตอนนี้เรียกตัวเองว่าเป็น “เสมียนประเทศ” เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งตำแหน่ง นอกจาก “สทร.-เสือกทุกเรื่อง” มองดูแล้ว “ทักษิณ” คงลุ้นและหนักใจกับการไต่สวนของศาลฎีกาฯมากกว่าคดี 112
เพราะ “คดี 112” ต่อให้วันที่ 22 ส.ค.นี้ ถ้าศาลอาญาตัดสินว่า “ทักษิณมีความผิด” ยังสู้ได้อีก 2 ศาล คือศาลอุทธรณ์กับศาลฎีกาฯ แต่กรณี “คดีชั้น 14 ที่ศาลฎีกาฯ” เนื่องจากไม่เคยเกิดเคสแบบนี้ ทำให้คาดการณ์ทิศทางได้ยาก ไม่รู้ว่าผลจะออกมาอย่างไร และหากมีคำสั่งออกมาแล้ว จะมีใครบ้างที่ได้รับผลกระทบ จะมีแค่เฉพาะแพทย์-เจ้าหน้าที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร-กรมราชทัณฑ์ ที่โดนหางเลข ไม่ถึงตัว “ทักษิณ” หรือ “ตัวทักษิณ” จะต้องได้รับผลกระทบด้วย
ตรงนี้หลายฝ่ายยังประเมินไม่ตรงกัน แต่ส่วนใหญ่มองว่า หากศาลฎีกามีคำสั่งใด ๆ ออกมา ก็น่าจะให้มีผลปฏิบัติได้ทันที เพราะเป็นการไต่สวนเพื่อค้นหาความจริงกรณีการบังคับโทษจำคุก ไม่ใช่การตัดสินคดี
ความไม่ชัดตรงนี้ทำให้ “ทักษิณ” ต้องหนักใจแน่นอน ว่าผลการไต่สวนของศาลฎีกาฯจะมีผลกระทบมาถึง “ตัวเอง” หรือไม่ ยิ่งหากดูจากการไต่สวนหลายนัดที่ผ่านมา “คำเบิกความของพยานหลายคน” ดูจะไม่เป็นผลดีต่อ “ทักษิณ”
อย่างล่าสุด ในการไต่สวนของศาลฎีกาฯเมื่อ 18 มิ.ย.ที่ผ่านมา ที่มีการเรียก “พ.ต.อ.นพ.ชนะ จงโชคดี” ซึ่งเป็นแพทย์ประจำโรงพยาบาลตำรวจ ที่รับตัว “ทักษิณ” เข้ารักษาเมื่อวันที่ 23 ส.ค.66 มาเบิกความ โดยศาลใช้เวลาไต่สวนซักถามนานถึง 1 ชั่วโมงครึ่ง เพื่อต้องการทราบรายละเอียดเกี่ยวกับเหตุการณ์รับตัว “ทักษิณ” เข้ารับการรักษา รวมไปถึงกระบวนการรักษา โดยถามรายละเอียดเกี่ยวกับ “บันทึกการรักษา” ตั้งแต่รับตัว “ทักษิณ” ไปจนถึงวันที่ “ทักษิณ” ออกจากโรงพยาบาล
โดยให้ “พ.ต.อ.นพ.ชนะ” ไล่อ่านบันทึกการรักษา จนถูกตั้งคำถามว่า “บางอาการไม่ได้มีบันทึกไว้ ถือว่ายังเข้าขั้นป่วยวิกฤตและสามารถกลับได้หรือไม่” ซึ่ง “พ.ต.อ.นพ.ชนะ” ได้ให้ความเห็นว่า “บางอาการถือว่าไม่วิกฤตและสามารถกลับได้” ที่ก็สอดรับกับที่ “แพทยสภา” เคยแถลงผลการลงโทษแพทย์รพ.ตำรวจที่รักษา “ทักษิณ” ว่า “ทักษิณไม่ได้มีการอาการป่วยวิกฤตรุนแรง”
ซึ่งก็คือ “เมื่อไม่วิกฤต อาการดีขึ้น” แล้วทำไม “รพ.ตำรวจ” ไม่ส่งตัว “ทักษิณ” กลับเรือนจำกรุงเทพฯ รวมถึง…ทำไม “กรมราชทัณฑ์” ไม่มานำตัว “ทักษิณ” กลับเข้าคุก หรือเอาตัวกลับไปรักษารพ.ราชทัณฑ์ฯ
นี่คือตัวอย่างที่ว่า ประเด็นการไต่สวนเหล่านี้ ดูจะไม่เป็นผลดีต่อรูปคดีชั้น 14 ในฝ่ายทักษิณเท่าใดนัก
“สิงหาคม” จึงเป็นเดือนที่ “สาหัส-สากรรจ์” เป็นช่วงลุ้นระทึกสำหรับ “ทักษิณ” และ “ครอบครัวชินวัตร” รวมถึง “พรรคเพื่อไทย” และ “รัฐบาลเพื่อไทย” งานนี้คาดการณ์ยาก เพราะผลที่ออกมา ออกได้ทุกหน้า ชนิดใครก็อาจคาดไม่ถึง !!!
…………………………………………
คอลัมน์ : ส่องป้อมค่ายการเมือง
โดย…“พระจันทร์เสี้ยว”











