ประเด็นเรื่อง “แร่หายาก” กำลังกลายเป็นประเด็นใหญ่ในสังคมไทย อย่างที่ไม่เคยคาดคิดคาดฝันกันมาก่อน แม้ว่าก่อนหน้านี้เรื่อง “แร่หายาก” ได้ยกระดับขึ้นเป็น “สงครามเศรษฐกิจ” ระหว่าง “สหรัฐฯ” กับ “จีน” ไปแล้วก็ตาม
ต้องยอมรับว่า…“แร่หายาก” ถือเป็นหัวใจสำคัญของเทคโนโลยีสมัยใหม่ ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) สมาร์ทโฟน หรือแม้กระทั่งอาวุธยุทโธปกรณ์ ทางการทหาร-ทางความมั่นคง
จึงไม่ต้องแปลกใจว่า ทำไม? จีนถึงได้ตอบโต้สหรัฐฯ ด้วยการไม่ส่งออกแร่หายาก หรือ “แรร์เอิร์ธ” หลังจากสหรัฐฯงัดมาตรการภาษีตอบโต้ออกมา จนทำให้โลกใบนี้ป่วนไปทั้งโลก
ทุกวันนี้ว่ากันว่า ใครสามารถคุมแหล่งแร่หายาก ได้มากที่สุด ก็เท่ากับว่า ได้เข้าควบคุมเส้นเลือดใหญ่ของเศรษฐกิจโลกทีเดียว ซึ่งจากข้อมูลของสำนักงานสำรวจทางธรณีวิทยาแห่งสหรัฐฯ ปี 2567 พบว่า จีน เป็นประเทศที่มีปริมาณสำรองแร่หายากมากที่สุด ที่ 44 ล้านตัน

รองลงมาอันดับสอง ได้แก่ บราซิล ที่มีอยู่ 21 ล้านตัน อันดับสามคือ อินเดีย มีอยู่ 6.9 ล้านตัน ส่วนอันดับที่สี่คือ ออสเตรเลีย มีปริมาณสำรองอยู่ 5.7 ล้านตัน ส่วนอันดับที่ห้าคือ รัสเซีย มีอยู่ 3.8 ล้านตัน ขณะที่ ไทย มีอยู่เพียง 4,500 ตัน
ด้วยเหตุนี้!! จึงไม่ต้องแปลกใจ ว่าทำไม? “พี่ใหญ่แดนมังกร” จึงใช้เรื่องนี้เป็นแต้มต่อ และนำมาใช้เป็นอาวุธทางเศรษฐกิจเพื่อนำมาต่อรองกับ “บิ๊กเบิ้มจากแดนตะวันตก”
หันกลับมาที่ไทย ทั้งที่เมื่อดูที่ปริมาณสำรอง ที่แม้ว่าตามข้อมูลของสหรัฐฯ แล้วจะมีอยู่เพียง 4,500 ตันเท่านั้น แต่ขณะเดียวกันเมื่อดูข้อมูลจากกรมทรัพยากรธรณีเกี่ยวกับกำลังผลิตแร่หายากของไทย ย้อนหลัง พบว่าปี 2563 ไทยมีกำลังผลิตแร่หายากประมาณ 3,600 ตัน
ขณะที่ในปี 2564 มีอยู่ 8,200 ตัน ส่วนปี 2565 มีกำลังผลิตที่ประมาณ 7,100 ตัน ส่วนปี 2566 มีกำลังผลิต 3,600 ตัน และล่าสุดในปี 2567 มีกำลังผลิต ประมาณ 13,000 ตัน
แม้มีกำลังผลิตไม่มากนัก แต่ไทยก็กลายเป็นอีกหนึ่งประเทศ ที่มหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ ต้องการตีตราจองไว้ก่อน!!
ดังนั้นบันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู) ระหว่างไทยกับสหรัฐฯ เพื่อร่วมมือพัฒนาแร่แรร์เอิร์ธฉบับแรก เพื่อพัฒนาความหลากหลายของห่วงโซ่อุปทานแร่ธาตุสำคัญระดับโลก และส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง จึงถือกำเนิดขึ้นเมื่อวันที่ 26 ต.ค.ที่ผ่านมา ที่ประเทศมาเลเซีย
แม้เอ็มโอยูฉบับนี้ บรรดาคนในรัฐบาลต่างดาหน้าออกมาการันตีว่า ไม่มีผลทางกฎหมาย เพราะเป็นเพียงกรอบของการเจรจาเท่านั้น แต่คนไทยทั้งประเทศต่างมองไปในทิศทางเดียวกันว่า ไทยกำลังเสียเปรียบให้กับสหรัฐ…หรือไม่?

โดยเฉพาะ “เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่ยืนยันว่า “เอ็มโอยูนี้ เป็นส่วนหนึ่งของความสัมพันธ์ที่ดีที่แน่นแฟ้น โดยเปิดโอกาสประเทศไทยให้เจรจาต่อรองเรื่องการค้าต่างตอบแทนได้”
ต่อให้…เอ็มโอยูไม่มีผลทางกฎหมายก็จริงอยู่ แต่บรรดากูรู บรรดานักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญ ต่างมองว่า อาจถูกนำไปโยงกับการเจรจาทางการค้าในอนาคตได้เช่นกัน
ส่วนบรรดานักวิชาการทางด้านธรณี ต่างมองว่า แม้ไทยมีการสำรวจพบว่าแหล่งแร่หายาก หรือแร่แรร์เอิร์ธ ซึ่งยังไม่มีศักยภาพที่คุ้มค่าเพียงพอในเชิงพาณิชย์ เพราะยังมีแหล่งแร่กระจัดกระจายอยู่ทั่วประเทศ และไม่มีแหล่งแร่ขนาดใหญ่ ก็ตาม
แต่ก็อย่าลืมว่า สหรัฐฯ เองทันสมัย ก้าวหน้ากว่าไทยในหลายด้าน โดยเฉพาะในเรื่องของเทคโนโลยี ในการสำรวจแหล่งแร่ จนอาจเห็นศักยภาพแร่หายากในไทย
นอกจากนี้ แร่หายากทั้งหมดไม่ได้มีเพียง แร่แรร์เอิร์ธ ยังมีแร่หายากอีกหลายชนิดที่ไทยยังไม่มีการสำรวจที่ดีเพียงพอ และนั่นอาจจะเป็นจุดสนใจที่ทำให้สหรัฐฯ อยากเข้ามาสำรวจแหล่งแร่หายากในไทย

ขณะที่ล่าสุด … นายกรัฐมนตรี “อนุทิน ชาญวีรกูล” ยืนยันหนักแน่นว่า “เอ็มโอยูฉบับนี้สามารถยกเลิกได้ เพราะไม่มีผลทางกฏหมาย หากเมื่อถึงวันนั้น ไทยสามารถดำเนินการเรื่องแร่หายากนี้ได้เอง และมีประโยชน์กับประเทศ”
ทั้งหลายทั้งปวง ก็ต้องหันกลับมามองที่ประเทศไทยเอง ว่าพร้อมหรือยัง? กับการที่ต้องเปิดขุมทรัพย์ให้ต่างชาติ ต่อให้สุดท้ายแล้วจะยกเลิกเอ็มโอยู ไปก็ตามที่เถอะ
เพราะทุกวันนี้ ไทยยังไม่มีเทคโนโลยีในการจัดการ และมีความเสี่ยงมาก กับเรื่องของแร่หายาก จึงเลือกที่จะนำเข้าแร่ดิบเข้ามาปรับแต่งแล้วส่งออก
อย่างที่บอกว่า ไทยต้องย้อนดูตัวเองว่าพร้อมหรือเปล่า!! แต่กว่าจะถึงวันที่สหรัฐฯ ต้องการแร่หายากในไทยอย่างจริงจัง รวมไปถึงข้อแก้ตัวกับ “จีน”
ทั้งหมด…คงต้องมารอดูกันต่อไป เพราะสุดท้ายแล้ว “รัฐบาลอนุทิน” ก็คงไม่สามารถปฏิเสธความรับผิดชอบได้!!
………………………….
คอลัมน์ : EC Focus by Virgo











