หน้าแรกCOLUMNISTSสแกมเมอร์เอฟเฟ็กต์​…วิกฤติที่กัดกร่อน “เศรษฐกิจ-การเมืองไทย”

สแกมเมอร์เอฟเฟ็กต์​…วิกฤติที่กัดกร่อน “เศรษฐกิจ-การเมืองไทย”

- Advertisement -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

คงปฏิเสธไม่ได้ว่า “สแกมเมอร์” ที่ทำงานกันอย่างเป็นขบวนการ ไม่ใช่แค่อาชญากรรมออนไลน์ทั่ว ๆ ไป แต่นี่คือ “วิกฤติ” ที่กลัดกร่อนความเชื่อมั่นระยะยาว ทั้งเศรษฐกิจและการเมือง หากรัฐไม่เร่งฟื้นความเชื่อมั่น เร่งดำเนินปราบปรามอย่างเข้มข้นเอาจริงเอาจัง

ขบวนการสแกมเมอร์สร้างความเดือดร้อนไปเกือบทั่วโลก งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยเท็กซัสแห่งออสติน ระบุว่า “ขบวนการสแกมเมอร์ใช้คริปโตเคอร์เรนซี เป็นช่องทางฟอกเงินและสนับสนุนการค้ามนุษย์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มูลค่าความเสียหายทั่วโลกสูงถึง 28,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี หรือประมาณ 9 แสนล้านบาท ส่วนหนึ่งเชื่อมโยงกับธุรกรรมในภูมิภาคอาเซียนรวมถึงประเทศไทยด้วย”

ภัยจากขบวนการสแกมเมอร์อันตรายมากขึ้นเรื่อย ๆ “สหรัฐอเมริกา” กับ “อังกฤษ” ต้องร่วมมือกันในการปราบปราม ยึดทรัพย์กลุ่มอาชญากรข้ามชาติ ทั้ง “สแกมเมอร์-พนันออนไลน์-การค้ามนุษย์” มูลค่ามหาศาล กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ และอัยการเขตตะวันออกแห่งนิวยอร์ก ได้ยื่นฟ้องขอริบทรัพย์สินมูลค่า 127,271 บิตคอยน์ หรือราว 4.87 แสนล้านบาท ซึ่งเชื่อมโยงกับ ขบวนการฟอกเงินของกลุ่มปรินซ์ โฮลดิ้ง (Prince Holding Group) ในกัมพูชา อังกฤษได้ยึดบ้านที่ดินทั้งหมดมูลค่า 130 ล้านปอนด์ที่เชื่อมโยงกับเครือข่ายของกลุ่มดังกล่าว กว่า 20 แห่ง ซึ่งเป็นองค์กรที่มีความเสี่ยงสูงต่อการฟอกเงิน

ขณะที่ รัฐบาลเกาหลีใต้ หลังจากที่ชาวเกาหลีถูกจับไปทำงานให้กับขบวนการนี้ถูกทารุณจนตายได้อายัดเงิน 2,000 ล้านบาทของขบวนการสแกมเมอร์ ที่ฝากเงินไว้ในธนาคารเกาหลีใต้ สาขากัมพูชา ตอนนี้ทั้ง “ญี่ปุ่น-ไต้หวัน-เวียดนาม” ก็พากันตื่นตัวกับเรื่องนี้ไม่น้อยเช่นกัน

การที่นานาประเทศระดมกวาดล้างขบวนการสแกมเมอร์อย่างจริงจัง สั่นสะเทือนไปถึงฐานที่มั่นสำคัญใน “เมืองสีหนุวิลล์” กัมพูชาที่เต็มไปด้วย อาคารขนาดใหญ่ที่และอุปกรณ์การสื่อสาร ที่ใช้ในการหลอกลวงเหยื่อทั่วโลกจำนวนมาก แตกกระสันซ่านเซ็นหาที่ตั้งใหม่แถบบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา บางส่วนทะลักเข้าไปใน “เมียนมา” โดยเฉพาะพื้นที่สามเหลี่ยมทองคำไทย- ลาว รวมไปถึง “ฟิลิปปินส์-เวียดนาม-มาเลเซีย”

สำหรับ “ไทย” ทั้งที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด แต่กลับตื่นตัวเรื่องนี้ช้าที่สุด รัฐบาลเพิ่งจะมีมติเห็นชอบยกระดับปัญหาสแกมเมอร์ให้เป็นวาระแห่งชาติ เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ทั้งที่ความเสียหายหนักกว่าหลาย ๆ ประเทศ จะเห็นได้จากการรายงาน “State of Scams in Thailand 2025” โดย องค์กรพันธมิตรต่อต้านการฉ้อโกงโลก (Global Anti-Scam Alliance : GASA) เปิดเผยว่า คนไทยกว่า 72% ต้องเผชิญความพยายามหลอกลวงเป็นประจำ เฉลี่ยคนละ 172 ครั้งต่อปี หรือเกือบทุก 2 วันต่อครั้ง และกว่า 60% ของผู้ใหญ่ตกเป็นเหยื่อสำเร็จภายในปีที่ผ่านมาโดย 14% สูญเงินเฉลี่ยคนละ 12,955 บาท รวมมูลค่าความเสียหายสูงถึง 115,300 ล้านบาทต่อปี ด้าน ปปง. ที่มีหน้าที่โดยตรง มีการประเมินว่าคนไทยถูกโกงปีละกว่า 30,000 ล้านบาท

นั่นหมายความว่า ความเสียหายจากภัยสแกมเมอร์ ทำให้เม็ดเงินไหลออกจากระบบปีละหลายหมื่นล้านบาท โดยหายไปกับ “บัญชีม้า” และ “เครือข่ายฟอกเงินจากคอลเซ็นเตอร์” เป็นสัญญาณเตือนว่า “ขบวนการสแกมเมอร์” กำลังส่งผลสะเทือนต่อเศรษฐกิจไทย อย่างไม่อาจปฏิเสธได้ เม็ดเงินจำนวนมหาศาลที่ถูกหลอกและหายไปจากระบบ ทำให้ “อำนาจซื้อของครัวเรือนไทยลดลง” ทั้งที่เงินจำนวนนี้ควรจะไปหมุนในร้านค้า ในตลาด หรือใช้ชำระหนี้ แต่กลับหายไปกับช่องทางที่ผิดกฏหมาย ทำให้ประชาชนเกิดความรู้สึกไม่ปลอดภัย ต้องระมัดระวังในการจับจ่าย

ขณะเดียวกัน คนเริ่มลังเลกับการซื้อของ หรือลงทุนทางออนไลน์มากขึ้น ไม่กล้าทำธุรกรรมดิจิทัล ส่งผลให้แพล็ตฟอร์มอีคอมเมิร์ช โซเชียลมีเดียไทยได้รับผลกระทบ เพราะแค่ข่าวลือ ร้านค้าปลอม หรือบัญชีหลอก ผู้ซื้อจะหยุดใช้จ่ายทันที บรรดาพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ก็ถูกเหมารวมเป็นแก๊งค์มิจฉาชีพ ผู้สูงอายุไม่กล้าใช้แอปธนาคาร

ที่สำคัญ เงินจำนวนมากที่ไหลออกจากระบบผ่านช่องทางฟอกเงิน กลายเป็นทุนหมุนเวียนของ “องค์กรอาชญากรรม” ซึ่งบางส่วนไปรวมอยู่กับ “ธุรกิจเทา” เช่น พนันออนไลน์ หรือสินทรัพย์ดิจัลผิดกฏหมาย จึงไม่ได้ทำลายความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเท่านั้น ยังบั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยีการเงิน “ฟินเทค” ที่ไทยพยามผลักดัน หากประเทศไทยถูกมองว่า มีช่องโหว่ด้านความปลอดภัยไซเบอร์ การลงทุนต้องพลอยหยุดชะงัก คงไม่มีนักลงทุนคนไหนอยากสร้างธุรกิจในพื้นที่ที่เสี่ยงต่อการถูกหลอกและไม่มีระบบป้องกันที่เข้มแข็ง

ไม่ใช่แค่เศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบ ตอนนี้ปัญหาขบวนการสแกมเมอร์กำลังจะลามไป เขย่าเสถียรภาพรัฐบาล “อนุทิน ชาญวีรกูล” อีกด้วย “วรภัค ธันญาวงศ์” รมช.คลัง เป็นคนแรกที่โดนหางเลข จนต้องทิ้งเก้าอี้รัฐมนตรีทั้งที่เพิ่งจะเริ่มทำงานแค่ 33 วันโดยที่เจ้าตัวปฏิเสธไม่เคยเกี่ยวข้องตามที่ถูกกล่าวหา

การลาออกของ “วรภัค” แม้จะถูกอธิบายว่า เป็นเหตุผลส่วนตัว แต่ในเชิงภาพลักษณ์ทางการเมือง ย่อมกระทบถึง “รัฐบาลอนุทิน” ไปเต็ม ๆ โดยเฉพาะถูกตั้งคำถามเรื่องความโปร่งใสและประสิทธิภาพในการจัดการขบวนการสแกมเมอร์ ความเสียหายจึงไม่ใช่แค่เม็ดเงินที่มีผลต่อเศรษฐกิจ แต่ทีหนักกว่าคือ ความไม่เชื่อมั่นในรัฐบาล ที่อาจจะกัดกร่อนฐานการเมืองอย่างช้าๆ

ในขณะที่นานาประเทศ ประกาศสงครามกับเครือข่ายสแกมเมอร์อย่างจริงจัง รัฐบาลไทยกับถูกมองว่า “รับรู้แต่ไม่เร่งแก้” หากปล่อยให้ปัญหานี้ยืดเยื้อ ยิ่งเท่ากับเปิดช่องให้ฝ่ายค้านและประชาชนตั้งคำถามว่า มีใครในรัฐบาลได้ประโยชน์นี้จากความเงียบหรือไม่

………….

คอลัมน์ : เศรษฐศาสตร์ข้างทาง

โดย….”ทวี มีเงิน”

สนับสนุนโดย…..บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) 

- Advertisement -spot_imgspot_img
RELATED ARTICLES
- Advertisment -spot_img
spot_img

Most Popular

spot_img
spot_img
- Advertisement -spot_imgspot_img
spot_img