โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเผยผลประชุม สมช. นายกฯ มอบหมายให้รมว.กลาโหมและรมว.ต่างประเทศชี้แจงจุดเดียว ลดความคลาดเคลื่อน เตรียมมาตรการดูแล 7 จังหวัดชายแดน ระงับความร่วมมือบางด้านกับกัมพูชาไว้จนกว่าสถานการณ์คลี่คลาย
เมื่อวันที่ 11 พ.ย. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงผลการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กรณีสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา โดยระบุว่า นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้มอบหมายให้รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นผู้ชี้แจงข้อเท็จจริงแก่สาธารณชนเป็นช่องทางเดียว เพื่อให้การสื่อสารมีความชัดเจน ครบถ้วน และลดความคลาดเคลื่อนของข้อมูล
โฆษกฯ ชี้แจงต่อว่า ขณะนี้รัฐบาลได้วางแผนเตรียมความพร้อมทั้งด้านการบริหารและความมั่นคงสำหรับพื้นที่ 7 จังหวัดชายแดนไทย–กัมพูชา โดยเป็นการเตรียมการป้องกันล่วงหน้า มิใช่การประกาศมาตรการที่ทำให้เกิดความตื่นตระหนก พร้อมกำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้จัดการมาตรการต่าง ๆ อย่างเป็นระเบียบและรัดกุม
เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามกรอบระยะเวลาในการระงับความร่วมมือตามถ้อยแถลงร่วมเพื่อสันติภาพ โฆษกย้ำว่า ขณะนี้ยังไม่มีการกำหนด “เดดไลน์” ทางกระทรวงกลาโหมจะประเมินสถานการณ์อย่างต่อเนื่องจนกว่าความตึงเครียดจะลดลง โดยสรุปแนวทางปฏิบัติคือ งดการดำเนินความร่วมมือบางรายการที่จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากกัมพูชา เช่น การประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (จีบีซี) ส่วนงานที่ไทยสามารถกระทำได้ด้วยตนเองจะยังเดินหน้าตามปกติ
โฆษกฯ ยังกล่าวถึงมาตรการเชิงสัญลักษณ์ที่ไทยดำเนินการไปแล้วในบางด้าน เช่น การคัดกรองและจัดการแรงงานข้ามชาติ โดยในรายการที่เกี่ยวกับการขอขยายอายุแรงงานของสัญชาติที่เข้ามาทำงานในไทย มีการตัดชื่อกัมพูชาออกชั่วคราว ทั้งนี้เป็นหนึ่งในมาตรการตอบโต้เพื่อสะท้อนจุดยืนของไทย
เมื่อถามถึงแนวทางตอบโต้หากมีกำลังพลได้รับบาดเจ็บเพิ่มขึ้น โฆษกระบุว่าแนวทางปฏิบัติเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ที่ฝ่ายกลาโหมเป็นผู้ดูแลรายละเอียด และเป็นเรื่องที่ต้องรักษาความลับทางการทหาร แต่ยืนยันว่านายกรัฐมนตรีให้การสนับสนุนเต็มที่ต่อมาตรการของฝ่ายความมั่นคง
โฆษกทิ้งท้ายว่า รัฐบาลยังคงเน้นการสื่อสารข้อมูลผ่านช่องทางที่เป็นทางการและขอความร่วมมือสื่อมวลชนในการถ่ายทอดข่าวสารอย่างรอบคอบ เพื่อไม่ให้ประชาชนเกิดความตื่นตระหนก พร้อมย้ำว่าการเตรียมความพร้อมครอบคลุมตั้งแต่การดูแลประชาชนในพื้นที่ โรงพยาบาล โรงเรียน ไปจนถึงแผนการอพยพหากสถานการณ์บังคับ






































