หน้าแรกCOLUMNISTSเร่งเปิด“สัมปทานปิโตรเลียม” 3 รอบรวด เงินลงทุนแสนล้าน!! รับ Quick Big Win

เร่งเปิด“สัมปทานปิโตรเลียม” 3 รอบรวด เงินลงทุนแสนล้าน!! รับ Quick Big Win

- Advertisement -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

ในสถานการณ์ที่ไทยต้องพึ่งพาก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้ามากกว่า 50% ขณะที่ก๊าซฯจากอ่าวไทยสามารถใช้ผลิตได้เพียง 60% ของความต้องการใช้ไฟฟ้าของประเทศ ที่เหลือต้องนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ซึ่งราคาผันผวน

ความท้าทายก็คือ สถานการณ์แบบนี้…จะทำอย่างไรให้เราสามารถควบคุมต้นทุนค่าไฟฟ้าของประเทศไม่ให้กระโดดสูง ก็ต้องเพิ่มสำรองก๊าซฯในประเทศ จากตอนนี้ไทยมีปริมาณสำรองที่พิสูจน์แล้ว (Proved Reserves : P1) เหลือเพียงแค่ 4 ปี ส่วนปริมาณสำรองที่คาดว่าจะพบ (P2) 9-10 ปีเท่านั้น การจะทำให้เรามีสำรองก๊าซฯในปริมาณเพิ่มขึ้นก็ต้องลงทุนเพิ่มเพื่อสำรวจและขุดเจาะ ทั้งบนบก อ่าวไทยและอันดามัน

แต่หลายคนอาจมองว่า เราควรสงวนทรัพยากรไว้ให้กับลูกหลานของเราบ้าง ไม่ใช่ขุดนำมาใช้ประโยชน์ในยุคนี้หมด ได้มีโอกาสสัมภาษณ์ “วรากร พรหโมบล” อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ…อีกครั้ง เพื่ออัพเดทสถานการณ์และความท้าทายในการพัฒนาปิโตรเลียมในยุคนี้

เขามองว่า “จังหวะนี้ต้องขุดเจาะปิโตรเลียมขึ้นมาใช้ประโยชน์ เพราะประเทศไทยกำลังเข้าสู่การเปลี่ยนผ่านพลังงานไปสู่พลังงานสีเขียว ซึ่งก๊าซฯเป็นพลังงานที่เหมาะสมที่สุดที่จะนำมาใช้เพื่อเป็นฐานให้พลังงานสีเขียวที่ยังไม่เสถียร” 

วรากร พรหโมบล

“ใครจะรู้ได้ว่า อนาคต โลกจะยังต้องใช้ก๊าซฯเหมือนในวันนี้หรือไม่ คนรุ่นใหม่อาจสนใจแหล่งผลิตพลังงานใหม่ ๆ อย่างนิวเคลียร์ ดังนั้นการนำก๊าซฯที่มีในประเทศขึ้นมาใช้อย่างถูกจังหวะเวลา คือคุณค่าสูงสุด” วรากร มีมุมมองแบบนี้

จึงเป็นที่มาให้กรมเชื้อเพลิงฯในยุคนี้ เร่งเปิดสัมปทานปิโตรเลียมแบบถี่ ๆ ล่าสุดได้เปิดให้สิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียมสำหรับแปลงสำรวจบนบก ครั้งที่ 25 ไปแล้วถือเป็นครั้งแรกในรอบ 18 ปีของการเปิดพื้นที่ใหม่บนบก และยังเตรียมเปิดรอบ 26 และรอบ 27 ติด ๆ กันด้วย สอดคล้องกับรัฐบาล 4 เดือนที่ต้องการ Quick Big Win เป็นรูปธรรมโดยเร็ว เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจประเทศ

“วรากร” บอกว่า ในส่วนของรอบ 25 ซึ่งเปิดสัมปทานไป 9 แปลง ครอบคลุมพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 7 แปลง บริเวณจังหวัดหนองบัวลำภู อุดรธานี ขอนแก่น สกลนคร กาฬสินธุ์ มหาสารคาม นครพนม มุกดาหาร ยโสธร อำนาจเจริญ ชัยภูมิ นครราชสีมา บุรีรัมย์ ร้อยเอ็ด และสุรินทร์ และพื้นที่ภาคกลางจำนวน 2 แปลง บริเวณจังหวัดเพชรบูรณ์ ลพบุรี ราชบุรี กาญจนบุรี นครปฐม และสุพรรณบุรี มีบริษัทที่สนใจยื่นขอสิทธิฯ จำนวน 5 บริษัท กำลังเข้าสู่กระบวนการพิจารณา น่าจะได้ชื่อผู้ชนะประมูลภายในเดือนธันวาคม 2568 ซึ่งประมูลรอบนี้ช่วยให้เกิดการลงทุนขั้นต่ำ กว่า 70 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 2,000 ล้านบาท ที่สำคัญคือจะทำให้เราได้ก๊าซฯเป็นเชื้อเพลิงในโรงไฟฟ้าน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น โรงไฟฟ้าหลักที่ป้อนไฟฟ้าให้กับภาคอีสานอย่างต่อเนื่อง

และกำลังวางกรอบเปิด สัมปทานรอบ 26 ทางฝั่งอันดามัน โดยจะเปิดแปลงภายในช่วงไตรมาสแรกของปี 2569 ใช้ระบบ Thailand III ภายใต้พ.ร.บ.ปิโตรเลียม ฉบับที่ 4 พ.ศ.2532 รูปแบบกำหนดค่าภาคหลวงและผลประโยชน์ตอบแทนพิเศษรายปีแบบขั้นบันได ส่วนแผนเปิด สัมปทานรอบ 27 ก็เตรียมการคู่กันไปด้วย เพื่อให้พร้อมเปิดแปลงสัมปทานได้ในปี 2570 ซึ่งรอบนี้จะเป็นรอบเก็บตกนำพื้นที่มีการคืนแหล่งสำรวจมาเปิดประมูลใหม่ เพราะเชื่อว่าเทคโนโลยีการสำรวจและขุดเจาะปิโตรเลียมมีการพัฒนาไปมาก ทำให้โอกาสในการนำแหล่งเล็ก ๆ ขึ้นมาพัฒนามีมากขึ้นตามไปด้วย

ในส่วนของการเปิดสัมปทานแหล่งอันดามันนั้น ถือเป็นไฮไลท์ของกรมเชื้อเพลิงฯและจะนำไปสู่ผลงานชิ้นโบว์แดงของรัฐบาลนี้เลยก็ว่าได้ “วรากร” ขยายความว่า แหล่งอันดามันมีศักยภาพที่จะสามารถนำก๊าซฯขึ้นมาใช้ประโยชน์ เป็นการสำรวจที่ระดับน้ำลึก 200 เมตรขึ้นไป ซึ่งต้องใช้ความเชี่ยวชาญพอตัว งานนี้กรมเชื้อเพลิงฯจะจัดสัมปทานให้เป็นแปลงใหญ่ เพื่อดึงดูดความสนใจจาก “บิ๊กเนม” ผู้พัฒนาปิโตรเลียมรายใหญ่ระดับโลก ไม่ว่าจะเป็น Exxon  Chevron จากสหรัฐ CNPC จากจีน หรือ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ “ปตท.สผ.” เพื่อให้ เงินลงทุนระดับแสนล้านบาทสะพัดในประเทศไทย โดยการสำรวจในระดับน้ำลึกแล้ว 1 หลุมต้องใช้เงินลงทุนถึงประมาณ 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ความมั่นใจที่ว่า ถ้าจัดแปลงดี ๆ จะมี “บิ๊กเนม” มาลงทุน เพราะแหล่งปิโตรเลียมน้ำลึกบริเวณอันดามัน เป็นแหล่งที่มีศักยภาพด้วยอยู่ติดกับแหล่งปิโตรเลียมของอินโดนิเซีย ซึ่งให้สัมปทานไปแล้วกับ “มูบาดาลา” มีปริมาณสำรองปิโตรเลียมถึง 7 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต (Tcf) และมีคุณสมบัติเป็น ก๊าซเปียก (Wet Gas) ซึ่งเป็นก๊าซฯที่มีองค์ประกอบอื่นนอกจากมีเทน เช่น อีเทน โพรเพน บิวเทน สารตั้งต้นของหลายๆอุตสาหกรรม

ส่วนข้อกังวลเรื่องผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและการท่องเที่ยวนั้น การที่ต้องสำรวจในระดับน้ำลึก ทำให้พื้นที่สำรวจต้องห่างจากพื้นที่เปราะบางราว ๆ 2 กม.ช่วยหลีกเลี่ยงผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อมและการท่องเที่ยว คาดว่าไตรมาส 1 ของปี 2569 น่าจะเปิดรายละเอียดของแปลงสัมปทานได้ 

สำหรับรอบเก็บตกจะนำพื้นที่มีการคืนแหล่งสำรวจมาปิดประมูลใหม่เป็นรอบที่ 27 เพราะเทคโนโลยีมีการพัฒนาไปมาก ทำให้โอกาสในการนำแหล่งเล็กๆขึ้นมาพัฒนามีมากขึ้น

การเปิดประมูลในรอบต่อ ๆ ไป ไทยจะใช้ระบบอะไร ระหว่าง “สัมปทาน” กับ “ระบบสัญญาแบ่งปันผลผลิต” (PSC) ที่ใช้ในการเปิดประมูลแหล่งก๊าซเอราวัณและบงกชที่หมดอายุสัมปทาน “วรากร” ให้คำตอบว่า จะใช้ระบบสัมปทาน เพราะ PSC เป็นรูปแบบที่ทำให้ภาครัฐต้องเข้าไปบริหารร่วมกับภาคเอกชน รวมถึงการจัดซื้อจัดจ้าง ซึ่งเป็นการลงรายละเอียดที่มากเกินไป ขณะเดียวกันผลประโยชน์ที่รัฐได้รับเบ็ดเสร็จ ก็ไม่แตกต่างกันระหว่างระบบสัมปทาน และ PSC”

อย่างไรก็ตาม การเปิดสัมปทานปิโตรเลียมของไทย ซึ่งมีแหล่งปิโตรเลียมขนาดเล็ก ๆ ใช่ว่านักลงทุนจะสนใจทุกรอบเสมอไป “วรากร” บอกว่า ต้องมีมาตรการจูงใจนักลงทุน โดยเฉพาะแนวทางที่จะทำให้เขาลงทุนได้อย่างต่อเนื่อง การสร้างความมั่นใจให้นักลงทุนมั่นใจและกล้าที่จะลงทุนด้วยการเปิดช่องให้สามารถต่ออายุสัมปทานได้มากกว่า 1 ครั้ง เพื่อทำให้การพัฒนาปิโตรเลียมขึ้นมาใช้ประโยชน์เป็นไปอย่างต่อเนื่องจนหมดศักยภาพของแหล่งปิโตรเลียมนั้นจริง ๆ หากทำได้เชื่อว่า จะดึงดูดผู้พัฒนารายใหญ่ใหม่ ๆ ให้เข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น จากปัจจุบันตามพ”ร”บ.ปิโตรเลียม พ.ศ.2514 และฉบับแก้ไข พ.ศ.2532 กำหนดช่วงการพัฒนาแหล่งปิโตรเลียมให้ผู้รับสัมปทานปิโตรเลียม ได้ระยะเวลา 20 ปี และมีสิทธิต่อระยะเวลาได้อีกครั้งเดียวไม่เกิน 10 ปี ซึ่งในช่วงท้ายสัมปทานมักจะมีการหยุดการลงทุน ทั้งที่แหล่งปิโตรเลียมนั้น ๆ ยังมีศักยภาพในการพัฒนาต่อ ทำให้ประเทศเสียโอกาสในการผลิตปิโตรเลียมเพิ่ม

การลงทุนสำรวจและขุดเจาะปิโตรเลียม เป็นกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่จำเป็นต้องทำเนื่อง ขณะเดียวกันโลกก็เรียกร้องให้เราทำอย่าง “กรีน” ดังนั้น โครงการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture and Storage : CCS) จากโรงงานอุตสาหกรรมอัดกลับเข้าไปในชั้นหินในหลุมพัฒนาปิโตรเลียมจึงต้องมา ซึ่งกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมเข้ามาเป็นเจ้าภาพหลัก ร่วมมือกับหลาย ๆ หน่วยงาน เพื่อทำให้เกิดการสำรวจพื้นที่เหมาะสมที่จะกักเก็บคาร์บอนเป็นรูปธรรม

“วรากร” เล่าว่า “ต้องร่างกฎหมายมารองรับ และต้องนำเข้า ครม. เพื่อมอบให้ทุกฝ่ายมาทำงานร่วมกัน คาดว่าปี 2569 น่าจะได้เห็นเรือเข้ามาสำรวจวัดคลื่นไหวสะเทือน (Seismic Survey) ได้ ซึ่งพื้นที่ที่จะทำโครงการ CCS บริเวณอ่าวไทยตอนบนมีศักยภาพที่จะทำ เพราะอยู่ใกล้แหล่งปล่อยมลพิษในมาบตาพุด แหล่งอุตสาหกรรมใหญ่ของประเทศ ปัจจุบันภาคเอกชนต่าง ๆ สนใจและร่วมทำงาน ทั้งกลุ่มปตท. กลุ่มปูนซิเมนต์ไทย รวมถึงสถานทูตอังกฤษ และญี่ปุ่น เป็นต้น เพราะโครงการตอบโจทย์ลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ภาคบังคับที่ผู้ประกอบการต้องทำ นอกจากออกแบบโครงการให้เหมาะสมแล้ว แนวทางเรื่องภาษีการลงทุนก็ต้องจัดให้ด้วย รวมถึงการเปิดทางให้มีผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศเข้ามาช่วย”

ตอนนี้ CCS โมเดลแรกกำลังทำแล้วในแหล่งก๊าซฯอาทิตย์ในอ่าวไทยของ “ปตท.สผ.” ที่กำลังร่วมมือกับมือกับกลุ่มมิตซุย ซึ่งสามารถนำกฎหมายปิโตรเลียมมาปรับใช้ได้สามารถเดินหน้าได้เลย คาดว่าในปี 2571-2579 จะได้เห็นโครงการ CCS เกิดขึ้นเป็นรูปธรรม

“หนึ่งในนโยบายหลักของรัฐบาล คือการผลักดันประเทศไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำผ่านการตั้งเป้าให้ไทยบรรลุ Net zero ภายในปี 2050 จากเดิมที่จะบรรลุในปี 2065 หรือเร็วขึ้น 15 ปี โครงการ CCS จึงเป็นโครงการที่มาตอบโจทย์ให้กับอุตสาหกรรมต่าง ๆ เพื่อลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ แต่จะเกิดขึ้นได้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดจะต้องเข้ามาช่วยกันให้โครงการเกิดเป็นรูปธรรมโดยเร็ว” วรากร กล่าวย้ำ

…………………………………

คอลัมน์ : เข็มทิศพลังงาน

โดย…“ศรัญญา ทองทับ”

สนับสนุนโดย…บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จํากัด (มหาชน) 

- Advertisement -spot_imgspot_img
RELATED ARTICLES
- Advertisement -spot_imgspot_img

HIGHLIGHT

- Advertisment -spot_img
spot_img

Most Popular

- Advertisement -spot_img
spot_img
- Advertisement -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img