ศาลฎีกามีคำพิพากษากลับ ให้กรมสรรพากร ชนะคดีปมเก็บภาษีหุ้นชินคอร์ป โดยบังคับให้ “ทักษิณ ชินวัตร” ต้องจ่ายให้รัฐ 1.76 หมื่นล้านบาท
เมื่อวันที่ 17 พ.ย.68 ที่ ศาลภาษีอากร ถนนแจ้งวัฒนะ ศาลได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีที่ ทักษิณ ชินวัตร (โจทก์) ยื่นฟ้องกรมสรรพากร (จำเลยที่ 1) กับพวกรวม 4 คน เพื่อขอให้ศาลภาษีอากรกลางเพิกถอนการประเมินตามหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด.12) ลงวันที่ 28 มีนาคม 2560 ซึ่งแจ้งให้โจทก์ชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เป็นเงินรวม 1.76 หมื่นล้านบาท (รวมภาษี, เบี้ยปรับ, และเงินเพิ่ม) ให้กับกรมสรรพากร
คดีนี้สืบเนื่องจากปัญหาการทำธุรกรรม ซื้อขายหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น ระหว่างปี 2541-2549 โดยการโอนหุ้นชินฯ จากบริษัท แอมเพิล ริช อินเวสท์เมนท์ จำกัด ในหมู่เกาะบริติช เวอร์จิน ก่อน นายพานทองแท้ ชินวัตร และ น.ส.พินทองทา ชินวัตร จะขายหุ้นให้แก่กองทุนเทมาเส็ก ของสิงคโปร์ ในปี 2549 มีส่วนต่างราคาเพียงบาทเดียว
โดยศาลวินิจฉัยว่า การประเมินภาษีของกรมสรรพากร ชอบด้วยกฎหมายแล้ว เนื่องจากนายทักษิณ เป็นผู้มีเงินได้ที่แท้จริงจากการขายหุ้น แม้ให้ นายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา เป็นผู้ถือครอง ผ่านการทำธุรกรรม กับบริษัท แอมเพิลริช พร้อมพิพากษาให้บังคับคดี เรียกเก็บภาษีจากการขายหุ้น พร้อมเบี้ยปรับเงินเพิ่ม ตามหนังสือแจ้งภาษี ภ.ง.ด.12 ลงวันที่ 28 มี.ค.2560 รวม 1.76 หมื่นล้านบาท
อย่างไรก็ดี ก่อนหน้านี้ ศาลภาษีอากรกลาง (คดีหมายเลขแดงที่ ภ 109/2565) และศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีภาษีอากร (คำพิพากษา ที่ 2819/2566) ได้เคยพิพากษาเพิกถอนการประเมินภาษีดังกล่าว โดยให้เหตุผลว่า เจ้าพนักงานประเมินกรมสรรพากรไม่ได้ออกหมายเรียกตรวจสอบ นายทักษิณ ในฐานะตัวการ ตามมาตรา 19 แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งถือเป็นการดำเนินการโดยไม่ชอบ แต่ศาลฎีกาพิจารณาแล้วมีคำพิพากษากลับคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสอง โดยให้ยกฟ้องโจทก์ เนื่องจากข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า การที่โจทก์ปกปิดการถือหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) โดยให้บุคคลอื่นถือหุ้นแทนนั้น เพราะโจทก์ประสงค์ที่จะเข้ารับตำแหน่งทางการเมืองที่กฎหมายห้ามมิให้ถือหุ้น
ศาลฎีกาเห็นว่า การกระทำนี้ทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ที่ขาดคุณธรรมทางภาษี และไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกฎหมายภาษีอากรในการจัดเก็บภาษีอากรอย่างถูกต้องและแน่นอน ทั้งเป็นธุรกรรมที่ไม่มีเหตุผลทางเศรษฐกิจอื่นนอกเหนือจากการหาประโยชน์ รวมถึงภาษีเงินได้ และเป็นธุรกรรมที่ทำขึ้นเพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมายอย่างร้ายแรง กรณีจึงไม่มีเหตุงดและลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มแก่โจทก์ เมื่อศาลฎีกาได้พิพากษากลับยกฟ้องโจทก์ ทำให้ผลคดีเป็นอันสิ้นสุด และทักษิณ ชินวัตร ต้องปฏิบัติตามคำสั่งเรียกเก็บภาษีของกรมสรรพากรตามขั้นตอน.



















