โฆษกกองทัพบกย้ำผลตรวจสอบทุกหน่วยชายแดนไม่พบเหตุการณ์ตามกล่าวหา จี้กัมพูชาหยุดผลิตซ้ำข้อมูลไม่ผ่านการพิสูจน์ ชี้เป็นพฤติกรรมบิดเบือนที่อาจมุ่งทำลายภาพลักษณ์ไทยบนเวทีโลก
เมื่อวันที่ 19 พ.ย. พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยกรณีสื่อและหลายหน่วยงานในกัมพูชาเผยแพร่ข้อกล่าวหาต่อเนื่อง ช่วงวันที่ 17–18 พ.ย. 2568 ระบุว่า ทหารพรานไทย 7 นาย ก่อเหตุหน่วงเหนี่ยวกักขัง ทำร้ายร่างกาย ปล้นทรัพย์ และล่วงละเมิดแรงงานกัมพูชาบริเวณแนวชายแดน จ.พระตะบอง
พล.ต.วินธัย ระบุว่า จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างเร่งด่วนของกองกำลังในพื้นที่ ยืนยันได้ชัดเจนว่าเป็น “ข่าวปลอม” โดยทันทีที่ปรากฏการกล่าวหา ฝ่ายไทยได้สั่งการกองกำลังบูรพาในพื้นที่ จ.สระแก้ว และประสานกองทัพเรือใน จ.จันทบุรี และ จ.ตราด ตรวจสอบกำลังพลทุกหน่วยที่ปฏิบัติการในคืนวันที่ 15 พ.ย. 2568 ซึ่งเป็นเวลาตามที่ถูกกล่าวอ้าง ผลสอบไม่พบเหตุการณ์ตามข้อกล่าวหา รวมถึงไม่พบการจับกุมแรงงานต่างด้าว 13 คนในวันดังกล่าว
โฆษกกองทัพบก ยังชี้ให้เห็นข้อสังเกตว่า การนำเสนอข่าวของฝ่ายกัมพูชามีความสอดประสานกันผิดปกติ ทั้งด้านเวลาและเนื้อหา โดยหลายหน่วยงาน เช่น กระทรวงแรงงานฯ กระทรวงวัฒนธรรมฯ สหภาพแรงงาน และคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนกัมพูชา ออกแถลงการณ์กล่าวโทษไทยอย่างพร้อมเพรียงภายใน 1–2 วัน ซึ่งเข้าลักษณะ “กระบวนการปฏิบัติการข่าวสาร” ที่มีการเตรียมการไว้ก่อน
พล.ต.วินธัย กล่าวด้วยว่า แถลงการณ์ที่ออกจากกัมพูชาทุกชิ้นใช้ข้อมูลชุดเดียวกัน แม้ยังไม่ผ่านการตรวจสอบร่วมกันตามกลไกปกติของประเทศเพื่อนบ้าน อีกทั้งยังมีการอ้างว่าเหยื่อถูกส่งกลับประเทศแล้ว จึงแจ้งเหตุภายหลัง ทำให้ฝ่ายไทยไม่สามารถตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุหรือยืนยันตัวบุคคลได้ ถือเป็นการตัดตอนพยานหลักฐานขัดกับหลักการปฏิบัติงานชายแดนที่ควรอาศัยความร่วมมือใกล้ชิด
พล.ต.วินธัย ยืนยันว่า ทหารพรานไทยปฏิบัติงานภายใต้หลักวินัยและสิทธิมนุษยชนอย่างเคร่งครัด และข้อกล่าวเรื่องข่มขืน รีดไถ หรือทำร้ายร่างกาย อาจเป็นข้อมูลเท็จที่จัดฉากโดยกลุ่มที่ต้องการป้ายสีทหารไทย เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากปัญหาอื่น เช่น ประเด็นทุ่นระเบิด หรือการดำเนินการเกี่ยวกับไซเบอร์สแกม ซึ่งกำลังได้รับการจับตาจากประชาคมนานาชาติ
สำหรับกรณีที่รองโฆษกมหาดไทยกัมพูชาระบุว่าคำชี้แจงของไทยคือการบิดเบือน พล.ต.วินธัย กล่าวว่า ความจริงต้องพิสูจน์ด้วยหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่การออกแถลงการณ์โจมตีฝ่ายเดียว พร้อมระบุว่าไทยไม่อาจยอมรับพฤติกรรมที่เข้าข่ายเป็นปฏิปักษ์ และขอให้กัมพูชาดำเนินการด้วยความซื่อตรง หยุดเผยแพร่ข้อมูลที่ยังไม่ได้พิสูจน์ เพื่อไม่ให้สังคมโลกถูกหลอกลวงด้วยข้อมูลที่คลาดเคลื่อน.
