“พี่ศรี” มาอีกแล้ว จันทร์นี้ยื่นร้อง “ผู้ตรวจการแผ่นดิน” สอบ หลังพบพิรุธ “รัฐบาล” แก้ปัญหาโควิด ส่อเอื้อกลุ่มทุน แต่ทุบผู้ประกอบการรายย่อย ถือเป็นการเลือกปฏิบัติ เหน็บ “เอกชนรายใหญ่” เปิดรง.ผลิตหน้ากาก อ้างแจกปชช. แต่คนไทยยังต้องวิ่งหาซื้ออย่างลำบาก แถมร้านสะดวกซื้อเปิดฉลุย ไม่เคยมีไทม์ไลน์ผู้ป่วย แต่กลับปิดตลาดนัด ร้านอาหาร
เมื่อวันที่ 10 ม.ค.64 นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่า ได้เฝ้าติดตามการทำงานแก้ไขปัญหาการแพร่เชื้อไวรัสโควิด-19 มาอย่างต่อเนื่อง พบว่า มีข้อพิรุธเป็นที่ผิดสังเกต ที่ก่อให้เกิดความคลางแคลงใจและเกิดความเดือดร้อนให้กับชาวบ้านเป็นอย่างมาก จำเป็นที่จะต้อง “กระชากหน้ากากความจริง” ของรัฐบาล ผ่านการตรวจสอบของ “ผู้ตรวจการแผ่นดิน” โดยสมาคมฯจะไปยื่นคำร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดินในวันจันทร์ที่ 11 ม.ค.64 เวลา 10.00 น.ณ ศูนย์ราชการ อาคาร B ห้อง 903 สำหรับสิ่งที่สมาคมฯตั้งข้อสงสัย คือ
1.กรณีการปิดตลาดนัด เป็นมาตรการป้องกันการระบาด โดยรัฐเริ่มต้นด้วยการเลือกปิดตลาดนัด ปิดร้านอาหาร พ่อค้า-แม่ค้าเดือดร้อน เพราะไม่มีแหล่งขายสินค้า เพื่อหารายได้ รัฐประกาศปิดตลาดนัดเพราะกลัวประชาชนจะไปแออัดกันซื้อสินค้าตลาดตลาดนัด แต่รัฐไม่ปิด “ห้างสรรพสินค้า” ที่มีระบบแอร์ตลอดเวลาและเป็นสถานที่ปิด เป็นความเสี่ยงในการติดเชื้อโควิด-19 มากกว่า แต่เมื่อถูกวิพากษ์วิจารณ์กันมาก จึงผ่อนคลายให้ การดำเนินนโยบายป้องกันดังกล่าวของรัฐ เป็นการเอื้อกลุ่มทุนแต่ทุบผู้ประกอบการรายย่อย เป็นการเลือกปฏิบัติหรือไม่
2.กรณีบริษัทเอกชนรายใหญ่ ได้ก่อสร้างโรงงานผลิตหน้ากากอนามัย เพื่อแจกฟรีให้กับบุคลากรทางการแพทย์และคนไทยทั่วไป ใช้ป้องกันไวรัสโควิด-19 มีกำลังการผลิตของโรงงานอยู่ที่ 100,000 ชิ้นต่อวัน หรือ 3 ล้านชิ้นต่อเดือน โดยเริ่มผลิตและส่งมอบให้กับทางราชการมาตั้งแต่กลางเดือนเม.ย.2563 เป็นต้นมา จนถึงปัจจุบันก็น่าจะเกือบ 30 ล้านชิ้นแล้ว แต่ “หน้ากากดังกล่าว” หายไปไหน ทำไมคนไทยยังต้องวิ่งซื้อหามาใช้อย่างยากลำบากอีกเมื่อมีการระบาดระลอกใหม่ มี “หน่วยงานใด” ยักยอกไว้ใช้ โดยไม่นำมาแจกจ่ายให้ประชาชนหรือไม่ หรือว่าโรงงานไม่ได้ผลิตตามที่โฆษณาไว้จริง หรือมีการลักลอบนำเอาหน้ากากไปซื้อขายกันในตลาดมืด
3.กรณีการนำวัคซีนป้องกันโควิด-19 มาฉีดให้คนไทยอย่างล่าช้า ทั้งๆ ที่ประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคนำมาใช้ฉีดให้กับพลเมืองของตนนานแล้ว เช่น สิงคโปร์ มาเลเซีย และล่าสุดประเทศที่เล็กและด้อยกว่าไทย ก็ยังนำวัคซีนมาใช้แล้ว คือ สปป.ลาว แต่สำหรับประเทศไทยโฆษณาชวนเชื่อมานานแล้ว ว่าจะซื้อวัคซีนจาก บริษัท แอสตราเซเนกา (ไทย-อังกฤษ) ซึ่งใช้สูตรยาและเทคโนโลยีของมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ร่วมกับบริษัทแอสตราเซเนกา ซึ่ง บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จะเป็นผู้ผลิต และจะเริ่มนำมาใช้ประมาณเดือนพ.ค.-มิ.ย.64 นี้เป็นต้นไปจนครบ 26 ล้านโดส ซึ่งถือว่าล่าช้ามาก กระทั่งถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก ต่อมาไปจัดซื้อวัคซีนบางส่วนที่พัฒนาโดยบริษัท ซิโนแวค ไบโอเทค บริษัทเภสัชภัณฑ์ของจีน จำนวน 2 ล้านโดส โดยชุดแรก 2 แสนโดส จะขนส่งมาถึงไทยช่วงสิ้นเดือนก.พ. และชุดที่สอง 800,000 โดส จะมาถึงช่วงสิ้นมี.ค. และอีก 1 ล้านโดส จะมาถึงช่วงสิ้นเดือนเม.ย. ทั้งนี้การที่รัฐบาลไปจัดหาวัคซีนจากจีน มีความเกี่ยวข้องกับการที่มีบริษัทเจ้าสัวจากเมืองไทยไปเข้าถือหุ้น 15% ใน “ซิโนแวค” บริษัทผลิตวัคซีนโควิด-19 ของจีน เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กันและกันหรือไม่ และทำไม “อย.” จึงไม่รีบรับรองวัคซีนของบริษัทต่างๆ เพื่อเปิดโอกาสให้ รพ.เอกชนสามารถจัดซื้อจัดหามาใช้ได้อย่างรวดเร็วได้ รัฐบาลมีอะไรซ่อนเร้นอยู่เบื้องหลัง
นายศรีสุวรรณ กล่าวต่อว่า นอกจากนั้น การที่มีการปิดบังไทม์ไลน์ของผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่ไปใช้บริการร้านสะดวกซื้อ แต่ไม่มีการเปิดเผยให้ประชาชนทราบ และไม่มีการสั่งปิด แต่กลับมาสั่งปิดสถานที่อื่นๆ แทนนั้น เป็นการเอื้อกลุ่มทุน แต่ทุบผู้ประกอบการรายย่อย เป็นการเลือกปฏิบัติหรือไม่ด้วย