จะนึกไม่ถึง หรือไม่เคยคาดคิดมาก่อน ว่าจะต้องเผชิญวิบากกรรมเหมือนในวันนี้ แต่ต้องบอกว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับเสี่ยเอก “นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” ประธานคณะก้าวหน้า และ พรรคก้าวไกล (กก.) ที่มี “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” หัวหน้าพรรคกก. ไม่ส่งผลดีกับพรรคน้องใหม่ ซึ่งเป็นขวัญใจคนรุ่นใหม่ และบรรขาโจ๋บางส่วนที่ท่องอยู่ในโลกออนไลน์แน่ๆ
แม้ในช่วง “ม็อบร้อยชื่อ” ซึ่งล่าสุดอ้างตัวเป็น “กลุ่มราษฎร” ได้อุบัติขึ้นและเริ่มมีกิจกรรม หลายคนเชื่อว่า จะสร้างคะแนนบวกให้กับเครือข่าย”เสี่ยเอก“อย่างล้นหลาม เนื่องจากเคลื่อนไหวเป็นเนื้อเดียวกัน
อีกทั้งบรรดาแกนนำคณะก้าวหน้าและ พรรค กก. ก็ประกาศสนับสนุนการทำกิจกรรมของกลุ่มนี้มาตลอด หลายครั้งหลายหนเราได้เห็น นายธนาธรรวมทั้งผู้ใกล้ชิด ทั้งนายปิยบุตร แสงกนกกุล และ “ช่อ” พรรณิการ์ วานิช รวมทั้งสมาชิกพรรคกก. เดินทางไปปรากฎตัวในพื้นที่ชุมนุม “ม็อบราษฎร” เป็นประจำ และประกาศสนับสนุนม็อบร้อยชื่อมาตลอด

โดยเป้าหมายหลักกลุ่มที่ประกาศตัวอยู่ตรงข้ามอำนาจรัฐ ประกอบด้วย 1.พล.อ.ประยุทธ์และองคาพยพที่เกี่ยวข้องต้องลาออก 2.รัฐสภาต้องเปิดประชุมวิสามัญทันที เพื่อรับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ (รธน.) ฉบับประชาชน และ 3.ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ให้อยู่ภายใต้ รธน. ตามระบอบประชาธิปไตย
แต่ทำไปทำมา การทำกิจกรรมและข้อเรียกร้องของ “ม็อบราษฎร” ซึ่งใช้สัญญลักษณ์ชู 3 นิ้วเป็นโลโก้ เริ่มเกินธงไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะประเด็น และข้อเรียกร้องซึ่งเกี่ยวข้องกับการปฎิรูปสถาบัน10 ข้อ ซึ่งถ้าเข้าไปพิจารณาเนื้อหาทั้งหมด จะถูกกลุ่มบุคคลที่มีความจงรักภักดี และคนจำนวนมากเห็นตรงกันว่า ต้องการทำให้สถาบันเกิดความอ่อนแอ
อีกทั้งการทำกิจกรรมของ “ม็อบชู 3 นิ้ว” หลายครั้งหลายหน ก็ถูกวิจารณ์ว่าเป็นการหยามพระเกียรติองค์พระประมุข และดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ โดยเฉพาะการทำกิจกรรมเมื่อวันที่ 8 พ.ย. ที่มีนำจดหมายไปยื่นผ่านสำนักพระราชวัง ซึ่งเนื้อหาจดหมายมีความไม่เหมาะสม และมีความล่อแหลม
การทำกิจกรรมหน้าสถานทูตเยอรมนี ประจำประเทศไทย และการจัดเดินแฟชั่นโชว์เลียนแบบบุคคลชั้นสูง บริเวณถนนสีลม ซึ่งทั้งหมดกลายเป็นคดีความ นำไปสู่การปลุกกระแสไม่พอใจของคนที่มีความจงรักภักดี นำมาสู่การแจ้งความดำเนินคดี และทำกิจกรรมปกป้องสถาบัน
แม้กระทั่งการทำกิจกรรมของ กลุ่มผู้ชุมนุม Mob Fest ซึ่งเป็นเครือข่ายเดียวกับ คณะราษฎร เมื่อวันที่ 14 พ.ย. บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ก็มีการแสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสมต่อสถาบัน ไล่ตั้งแต่ เมื่อเวลาประมาณ 17.30 น. มีขบวนเสด็จฯ ผ่านกลุ่มผู้ชุมนุม Mob Fest ได้หันหลังชูสามนิ้วพร้อมเคารพธงชาติขณะขบวนเสด็จฯ ผ่าน

จากนั้นในเวลาประมาณ 18.00 น. กลุ่มการ์ดผู้ชุมนุมได้นำป้ายผ้าสีขาวขนาดยักษ์ ที่ให้ผู้ชุมนุมเขียนข้อความนำไปคลุมตัวอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ซึ่งพบว่า หลายข้อความที่มวลชนเขียนนั้น เป็นข้อความที่หยาบคาย และบางข้อความโจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์
ดังนั้นเมื่อการทำกิจกรรมของ “ม็อบชู 3 นิ้ว” ก่อให้เกิดผลกระทบกับสถาบัน มากขึ้นเรื่อยๆ กลุ่มคนเสื้อเหลือง ซึ่งจัดกิจกรรมปกป้องสถาบันอย่างต่อเนื่อง ก็เริ่มมีปฎิกริยาไม่พอใจ และเชื่อว่ากลุ่มก้าวหน้าและพรรคกก.อยู่เบื้องหลัง
นำมาสู่การเคลื่อนไหว ต่อต้าน และขับไล่ประธานคณะก้าวหน้า และพรรคกก. ระหว่างเดินสายช่วยหาเสียงให้กับผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (นายก อบจ.) และสมาชิก อบจ. ที่ให้การสนับสนุน โดยมีการชูพระบรมฉายาลักษณ์ของพระเจ้าอยู่หัว ทั้งรัชกาลที่ 9 และรัชกาลที่ 10 ในหลายพื้นที่ และไม่สามารถคาดเดาได้ว่า การต่อต้านครั้งจะลุกลามบานปลายไปมากแค่ไหน
ที่หนักสุดคือ เหตุการณ์ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช เมื่อวันที่ 11 พ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งมี “คนสวมเสื้อเหลือง” นับร้อยคนออกมาต่อต้าน รวมตัวกันขับไล่ “นายธนาธร” ให้ออกพ้นพื้นที่ โดยใช้ข้อความและคำพูดโจมตีเช่น “คนเนรคุณ” หรือ “คนขายชาติ” ซึ่งก่อนหน้านี้เหตุการณ์ในลักษณะนี้ ก็เกิดขึ้นที่จังหวัดระยองมาแล้ว เมื่อถูกชาวบ้านในตลาดตะโกนขับไล่ ระหว่างประธานคณะก้าวหน้าช่วยสมาชิกกลุ่มหาเสียง ในการเลือกตั้งระดับท้องถิ่น

ขณะที่ “นายธนาธร” ช่วยลูกทีมหาเสียงอยู่นั้น ได้มีประชาชน พร้อมแม่ค้าในตลาดนำพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 มาด้วย บุกกลางวงหาเสียง เข้าไปถามนายธนาธรว่า “สู้เป็นไทยถอยเป็นทาส คำว่าทาสของคุณคืออะไร มันเลิกทาสไปตั้งแต่รัชกาลที่ 5 แล้ว แต่ขอให้หยุดจาบจ้วงในหลวง พวกเราขอแค่ว่า ถ้าจะหาเสียงจะทำการเมืองให้ดีขึ้น อยากพัฒนาประเทศก็ทำไป แต่ต้องบอกพรรคพวกหยุดจาบจ้วงในหลวง สัญญากับคนบ้านฉางว่าจะไม่จาบจ้วงในหลวงได้หรือไม่“
ขณะที่เมื่อวันที่ 15 พ.ย. ระหว่าง “นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์” หัวหน้าพรรค กก. พร้อมด้วยแกนนำพรรค ได้ร่วมกันพบปะประชาชนในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้มีประชาชนกลุ่มปกป้องสถาบันกษัตริย์ ออกมาชูป้ายตะโกนขับไล่ที่วัดใหญ่ชัยมงคล ตำบลคลองสวนพลู อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

ทำให้ “นายพิธา” และ “นางอมรัตน์” ออกมาพูดคุย โดยมวลชนได้บอกให้พรรคเลิกสนับสนุนการชุมนุม และยกเลิกการปฏิรูปสถาบัน จนเกิดการโต้เถียงกันนานกว่า 20 นาที ท่ามกลางการดูแลความสงบเรียบร้อยของตำรวจ ก่อนที่มวลชนจะแยกย้าย ขณะที่กลุ่ม ส.ส.จากพรรค กก. เดินทางกลับทันที
อย่างไรก็ตาม “นายธนาธร” ได้ออกให้ความเห็นกรณีมีกลุ่มคนสวมใส่เสื้อสีเหลือง อ้างว่าออกมาปกป้องสถาบันว่า การดึงสถาบันมาโจมตีคณะก้าวหน้าในการเมืองท้องถิ่น ไม่ได้เป็นผลดีต่อสถาบัน สำหรับตนเอง ถ้าจะรณรงค์ไม่ให้พี่น้องประชาชนไม่ให้เลือกพวกเรา ก็เป็นสิทธิของทุกคนที่จะทำได้
แต่ตนก็จะเดินรณรงค์ตามตลาด ตามพื้นที่ต่างๆ ต่อไป จะบอกประชาชนว่าให้เลือกพวกเรา ต่างฝ่ายต่างให้เหตุผล อย่าลิดรอนสิทธิเสรีภาพของกันและกัน เราต่างคนต่างรณรงค์ โดยต้องไม่ปิดกั้นสิทธิเสรีภาพของกันและกัน ให้ประชาชนตัดสินใจน่าจะเป็นทางออกให้ประเทศดีที่สุด
ขณะที่ “นายชัยธวัช ตุลาธน” เลขาธิการพรรค กก. ก็ให้ความเห็นว่า “ถ้าจะเปลี่ยนผ่านบ้านเมืองไปสู่ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ เราจำเป็นต้องมี รธน. ฉบับใหม่ โจทย์ที่สำคัญคือ รัฐสภาจะทำอย่างไรเพื่อให้มีให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) เพื่อเป็นพื้นที่ของทุกคน ทุกฝ่ายอย่างแท้จริง แม้ว่าทุกฝ่ายอาจจะไม่ได้ทั้งหมดในสิ่งที่คิดทั้งหมด”
แต่พื้นที่ สสร. ต้องเปิดประตูโอบรับคนทุกคนทุกฝ่าย ไม่ใช่เป็นการปิดประตูตั้งแต่ต้น ไม่ควรไปกำหนดตั้งแต่แรกว่าไม่สามารถแก้ไขหมวด 1 หรือหมวด 2 ได้ ขอให้เชื่อในกระบวนการทางสังคมว่าจะสามารถสร้างความสมดุลให้เกิดขึ้น ในทางกลับกันหากมีการปิดกั้นฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดตั้งแต่ต้น ต่อให้มี รธน.ฉบับใหม่ออกมา ก็อาจจะไม่เกิดการเปลี่ยนผ่านเป็นประชาธิปไตย
จากนี้ไปต้องจับตาดูว่า การเคลื่อนไหวของ กลุ่มคนเสื้อเหลืองที่ออกมาต่อต้าน คณะก้าวหน้า และ “พรรคกก.” จะกระทบยุทธศาสตร์ในการเลือกตั้งระดับท้องถิ่นมากน้อยแค่ไหน โดยเฉพาะ การส่งผู้สมัครลงชิงตำแหน่ง “นายก อบจ.” กว่า 40 คนทั่วประเทศ เพื่อหวังสร้างฐานการเมือง รองรับการเลือกตั้งระดับชาติในอนาคต
ยิ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสถาบัน ซึ่งเป็นศูนย์รวมจิตของคนไทย ย่อมมีพสกนิกรที่มีความจงรักภักดี ยอมไม่ได้ให้ใครก็ตาม หรือคนกลุ่มไหนแสดงพฤติกรรมจาบจ้วง หรือหวังโค่นล้ม เพื่อนำไปสู่การปกครองในระบอบอื่น จากนี้ไปอยู่ที่ว่า “นายธนาธร” จะกำหนดแนวทางและความเคลื่อนไหว ยิ่งต้องเผชิญยุทธศาสตร์ “หนามยอก เอาหนามบ่ง”

อย่าลืมว่า ก่อนหน้านี้ “นายศรีสุวรรณ จรรยา” เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ได้ไปร้องเรียนกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ถึง พฤติกรรมของคณะก้าวหน้า อาจเข้าข่ายมีความผิดตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ 2560 ม.111 ที่บัญญัติไว้ว่า “ผู้ใดสมคบกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปดําเนินกิจการเช่นเดียวกับพรรคการเมือง
หรือผู้ใดดําเนินการไม่ว่าด้วยวิธีใดให้เข้าใจว่าเป็นพรรคการเมืองโดยมิได้จดทะเบียนจัดตั้งพรรคการเมือง ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอน สิทธิเลือกตั้งของผู้นั้นมีกําหนดห้าปี” หลังส่งคนสมัครรับเลือกตั้งเป็นนายก อบจ. และสมาชิก อบจ.
………………………
คอลัมน์ : ล้วง-ลับ-ลึก
โดย #แมวสีขาว