“ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ แต่เดิมมาข้าพเจ้าได้มีจิตศรัทธา เลื่อมใส และนึกถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะ ด้วยวิธีนั้นๆ อยู่แล้ว ฉะนั้น บัดนี้ข้าพเจ้าได้เถลิงถวัลยราชสมบัติบรมราชาภิเษกแล้ว จึงขอมอบตัวแด่พระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้าและพระสังฆเจ้า จะได้รับการจัดการ ให้ความคุ้มครอง และรักษาพระพุทธศาสนาโดยชอบธรรมตลอดไป ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ขอพระสงฆ์จงจำไว้ด้วยว่า ข้าพเจ้าเป็นพุทธศาสนูปถัมภก เถิด”
นี่คือพระราชดำรัส พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประกาศพระองค์เป็นพุทธศาสนูปถัมภก ในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2562
ตั้งแต่บัดนั้นจนถึงบัดนี้ล่วงเลยมาแล้ว 5 ปี พระราชดำรัสนี้อันเปรียบเสมือนพระราชปณิธานที่พระองค์ทรงประกาศไว้ต่อหน้าคณะสงฆ์ พระองค์ทรงยึดมั่นในการที่จะสืบสาน รักษา ต่อยอด
กิจการคณะสงฆ์หลักใหญ่ๆ มีอยู่ 2 ประการสำคัญคือ วิปัสสนาธุระ และ คันถธุระ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสนับสนุนเป็นอย่างยิ่ง
“เปรียญสิบ” จะเล่าเท่าที่รู้และที่ปรากฎชัด เริ่มต้นจากการในวงการสงฆ์เป็นที่รับรู้ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงปฎิบัติธรรมวิปัสสนาอยู่เนืองนิตย์ ด้วยการนิมนต์พระภิกษุสายกรรมฐาน พระสายวัดป่า และพระภิกษุที่เชี่ยวชาญด้านกรรมฐานไปถวายคำแนะนำการปฎิบัติธรรมในพระราชวังอยู่ตลอด พร้อมทั้งนิมนต์พระเถระผู้ใหญ่นำถวายการเจริญพระพุทธมนต์ในพระราชวังอยู่ต่อเนื่อง
ขณะเดียวกันมีภาพเกือบทุกวันว่า พระองค์จะส่งเจ้าหน้าที่พระราชวัง นำไทยธรรม นำภัตตาหารไปถวายแก่ พระเถระผู้ใหญ่ พระภิกษุผู้ปฎิบัติดีปฎิบัติชอบตามพระอารามต่างๆ ทั่วประเทศ
ส่วนการถวายภัตตาหารประจำ ตามสำนักเรียนบาลี เช่น วัดโมลีโลกยาราม หรือมหาวิทยาลัยสงฆ์ อย่างมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย อันนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานมาหลายปี ตั้งแต่โควิดระบาด จนถึงบัดนี้
รวมทั้งเวลาคณะสงฆ์มีงานสำคัญๆ อย่างเช่น สอบบาลี สอบนักธรรม หรืออบรมพระอุปัชฌาย์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงรับเป็นเจ้าภาพหลัก ทั้งเรื่องอุปกรณ์การสอบ ทั้งเรื่องภัตตาหารและน้ำปานะ
พระองค์ทรงให้ความสำคัญกับการศึกษาของคณะสงฆ์เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเรื่อง “บาลี” ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของความมั่นคงของพระพุทธศาสนาเถรวาท พระองค์พระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์จำนวน 100 ล้านบาท สมทบทุนสร้าง “มหาวชิราลงกรณบาลีเถรวาทราชวิทยาลัย”
รวมทั้ง “ทุนเล่าเรียนหลวง” ซึ่งพระราชทานทั้งสายบาลี มหาวิทยาลัยสงฆ์ วิปัสสนาธุระ รวมทั้งอบรมพระนักเทศน์
นอกจากนี้พระองค์ทรงถวายกำลังใจให้กับพระเถรานุเถระ ผู้ปฎิบัติดี ปฎิบัติชอบ พระราชทาน “สมณศักดิ์” เชิดชูเกียรติพระเถรานุเถระอยู่เนืองๆ
ความจริงพระองค์ทรงยึดมั่นและปฎิบัติตามพระราชดำรัสที่ตรัสไว้ต่อหน้าคณะสงฆ์ในวันที่พระราชพิธีบรมราชาภิเษก มากกว่านี้ แต่บางเรื่องเป็นประเภท “ปิดทองหลังพระ” โดยเฉพาะเรื่องในการแก้ไขในสิ่งผิด อันหมายถึง บางเรื่องมีความผิดพลาด แล้วพระองค์ทรงมีพระดำริว่า..ต้องแก้ไข
เช่น “คดีเงินทอนวัด” ที่ประจักษ์ชัดเจน ทรงคืนความเป็นธรรมให้คือ กรณีวัดสามพระยา ทรงคืนสมณศักดิ์ให้แก่ “พระพรหมดิลก” เป็นต้น
“เปรียญสิบ” เขียนเล่าเท่าที่รู้ เนื่องในวันฉัตรมงคล ส่วนเรื่องที่ไม่รู้อีกคงมีอีกมาก??
…………………………………..
คอลัมน์ : ริ้วผ้าเหลือง
โดย…“เปรียญสิบ”: [email protected]