แม้สถานการณ์ราคาน้ำมันที่แพงขึ้น แต่ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) มองว่าเป็นโอกาสที่จะต้องเร่งทำการตลาด เพื่อดึงให้ผู้ประกอบการขนส่งมาใช้ บริการขนส่งทางรถไฟ หรือ “ทางราง” เพื่อลดต้นทุนค่าเชื้อเพลิงที่มีแนวโน้มจะยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูงในระยะยาว ซึ่งการขนส่งทางรถไฟนั้นสามารถช่วยลดต้นทุนเชื้อเพลิงได้เป็นอย่างดี ด้วยหัวรถจักรดีเซลไฟฟ้า
นายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กล่าวว่า จากสถานการณ์ราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้นนั้น รฟท. จึงได้เร่งทำการตลาดการขนส่งสินค้าทางราง เพื่อเป็นทางเลือกให้ผู้ประกอบการมาใช้บริการขนส่งสินค้าทางรถไฟเพิ่มขึ้น ซึ่งในขณะนี้มีลูกค้าหลายบริษัทติดต่อเข้ามายัง รฟท. อย่างต่อเนื่อง โดยสนใจเปลี่ยนโหมดมาใช้บริการขนส่งสินค้าจากทางรถบรรทุกมาเป็นทางรถไฟ เนื่องจากปัจจัยสนับสนุน เช่น ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ต้นทุนค่าขนส่งทางถนนเพิ่ม การขนส่งทางรางจึงเป็นทางเลือกที่ช่วยลดต้นทุนค่าขนส่งได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ ปัจจุบัน รฟท.มีลูกค้าทั้งรายย่อย และรายใหญ่รวมกันกว่า 60 ราย และอยู่ระหว่างเจรจากับลูกค้ารายใหญ่ประมาณ 10 ราย คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในปี 2565
ทั้งนี้เพื่อรองรับการขนส่งทางรางที่เพิ่มขึ้น รฟท. จึงมีแผนจัดหาโบกี้รถบรรทุกตู้สินค้า (แคร่) เพิ่ม 965 คัน มูลค่ารวมประมาณ 2,000 ล้านบาท เนื่องจากปัจจุบันการใช้แคร่ขนสินค้าค่อนข้างตึงตัว โดย รฟท. มีแคร่ขนสินค้าประมาณ 1,000 คัน ใช้ขนสินค้าแบบเหมาขบวน 40% และแบบรายย่อย 60% จึงมีความจำเป็นจะต้องเร่งจัดหาเพิ่ม ซึ่งปัจจุบัน รฟท. อยู่ระหว่างนำกลับมาวิเคราะห์ และเปรียบเทียบผลตอบแทนทางการเงินอีกครั้ง ระหว่างการเช่า การซื้อ และการจ้างเหมาบริการ คาดว่าจะเสนอกลับไปยังกระทรวงคมนาคมอีกครั้งในเดือนก.ค.-ส.ค.2565 ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณา หากเห็นชอบจะเข้าสู่กระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง ใช้เวลาประมาณ 1 ปี
“ปี 65 วางเป้ารายได้ขนส่งสินค้า 2 พันล้านบาท”
ส่วนรายได้จากธุรกิจขนส่งสินค้านั้นในปี 2565 รฟท. ตั้งเป้ารายได้จากการบริการขนส่งสินค้าที่ 1,500-2,000 ล้านบาท ปริมาณขนส่งสินค้า 12 ล้านตัน เติบโตจากปี 2564 มีปริมาณขนส่งสินค้าอยู่ที่ 11.3 ล้านตัน ประมาณ 2% ส่วนปี 2566 ตั้งเป้าหมายมีปริมาณขนส่งสินค้าที่ 12.5 ล้านตัน อย่างไรก็ตามในช่วงไตรมาสที่ 1 และ 2 ของปีงบประมาณ 2565 (ต.ค.64-มี.ค.65) รฟท.ให้บริการขนส่งสินค้าไปแล้วประมาณ 8.7-8.8 ตัน ซึ่งหลังจากนี้คาดว่าปริมาณการขนส่งสินค้าน่าจะเพิ่มมากขึ้นได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ ทั้งนี้สัดส่วนรายได้ของ รฟท. ในขณะนี้แบ่งเป็น ผู้โดยสาร 70% และขนส่งสินค้า 30% ซึ่ง รฟท. จะพยายามผลักดันให้ทั้งสองส่วนเติบโตขึ้นไปพร้อมๆ กัน
“รายได้จากการขนส่งสินค้าของ รฟท. จะเติบโตขึ้น เนื่องจากต้นทุนราคาน้ำมันที่แพงขึ้นส่งผลให้ผู้ประกอบการหลายบริษัทให้ความสนใจหันมาใช้บริการขนส่งสิค้าทางรถไฟมากขึ้น ขณะเดียวกันเมื่อโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ แล้วเสร็จก็จะทำให้การเชื่อมโยงเครือข่ายการขนส่งจะสามารถเชื่อมโยงได้กว้างขึ้น จึงเชื่อว่าจะสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้ประกอบการบริษัทขนส่ง ทั้งรายย่อย รายใหญ่หันมาใช้บริการเพิ่มขึ้น แต่การรถไฟฯ ก็ต้องมีการจัดหาหัวรถจักรรุ่นใหม่ จัดหาแคร่ที่เพียงพอ เพื่อเพิ่มศักยภาพและความคล่องตัวในการให้บริการด้วย” นายนิรุฒ กล่าว
“ตรึงราคาค่าธรรมเนียมน้ำมันช่วยผู้ประกอบการ”
อย่างไรก็ตาม แม้ราคาน้ำมันที่แพงขึ้น โดยราคาน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับ 34 บาทต่อลิตรนั้น แหล่งข่าว รฟท. เปิดเผยว่า รฟท. ได้ตรึงราคาค่าธรรมเนียมน้ำมันไว้ที่ 30 บาทต่อลิตร เพื่อช่วยเหลือและลดภาระค่าใช้จ่ายให้เอกชนตามนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นเวลา 3 เดือน (มิ.ย.-ส.ค.65) ซึ่งส่งผลให้ รฟท. ต้องรับภาระค่าธรรมเนียมน้ำมัน เพราะ รฟท. ต้องจ่ายค่าน้ำมันตามราคาตลาด ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 34 บาทต่อลิตร
โดยทุกๆ 1 บาทที่ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น จะส่งผลให้ รฟท. มีค่าใช้จ่ายเพิ่มประมาณ 2 ล้านบาทต่อเดือน อย่างไรก็ตามหลังจากเดือนสิงหาคม 2565 จะมีการขยายระยะเวลาตรึงราคาค่าธรรมเนียมน้ำมันต่อหรือไม่นั้น ขอพิจารณาประมาณการค่าใช้จ่ายก่อน และปฏิบัติตามนโยบายกระทรวงคมนาคมเป็นหลัก ซึ่งหากรัฐมนตรีคมนาคมให้มีการขยายกรอบระยะเวลาการตรึงค่าธรรมเนียมน้ำมันออกไปอีกหลังจากสิ้นสุดเดือนสิงหาคม 2565 ก็คงต้องไปเจรจากับบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เพื่อขอซื้อน้ำมันในราคาพิเศษ
บริษัท เอ็น.อี. (1992) จำกัด เป็นอีกหนึ่งบริษัทที่เริ่มหันมาใช้บริการขนส่งทางรถไฟ โดย นายณรงค์ศักดิ์ พุทธพรมงคล ประธานกรรมการบริหาร เอ็น.อี. กล่าวว่า บริษัทฯ ขนส่งเกลือเป็นล้านตันต่อปี โดยในส่วนของโรงงานนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ขณะนี้มีการขนส่งทั้งผ่านทางรถบรรทุก และรถไฟ ในสัดส่วน 50:50 วันละประมาณ 2 พันตัน หรือประมาณ 6-7 แสนตันต่อปี ซึ่งการที่ปรับมาขนส่งสินค้าผ่านทางรถไฟในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ช่วยลดต้นทุนในการขนส่งสินค้าได้มาก โดยช่วยลดการว่าจ้างคนขับรถลงไปได้ถึง 70 คน ประหยัดค่าน้ำมัน และลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนด้วย ในเร็วๆ นี้มีแผนจะเพิ่มการขนส่งสินค้าเกลือผ่านทางรถไฟเพิ่มมากขึ้นจากประมาณเดือนละ 15 ขบวน เป็นเดือนละ 30 ขบวน