หน้าแรกHighlightค่าเงินบาท‘ทรงตัว’ที่32.16บาท/ดอลลาร์

ค่าเงินบาท‘ทรงตัว’ที่32.16บาท/ดอลลาร์

- Advertisement -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.16 บาทต่อดอลลาร์ “ทรงตัว” ตลาดติดตามดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรม-ภาคการบริการของสหรัฐฯ-ยุโรป-อังกฤษ-ญี่ปุ่น

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.16 บาทต่อดอลลาร์ “ทรงตัว” จากระดับปิดวันที่ผ่านมา โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวไร้ทิศทางที่ชัดเจน ในลักษณะ Sideways (แกว่งตัวในกรอบ 32.14-32.25 บาทต่อดอลลาร์) แม้เงินบาทจะมีจังหวะอ่อนค่าลงบ้าง ตามการทยอยปรับตัวลดลงของราคาทองคำ (XAUUSD) หลังผู้เล่นในตลาดเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยง ตอบรับความหวังว่าสหภาพยุโรป (EU) กับสหรัฐฯ อาจบรรลุข้อตกลงการค้าได้ในเร็ววันนี้

โดยภาพดังกล่าวกลับกดดันให้เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลง ตามการแข็งค่าขึ้นของเงินยูโร (EUR) ตอบรับความหวังการเจรจาการค้าดังกล่าว นอกจากนี้เงินดอลลาร์ยังเผชิญแรงกดดันเพิ่มเติม จากรายงานข้อมูลตลาดบ้านของสหรัฐฯ อย่าง ยอดขายบ้านมือสอง (Existing Home Sales) เดือนมิถุนายนที่ปรับตัวลดลง แย่กว่าคาด

แม้ว่ารายงานข้อมูลตลาดบ้านสหรัฐฯจะออกมาแย่กว่าคาด ทว่าความหวังสหรัฐฯกับสหภาพยุโรปอาจบรรลุข้อตกลงการค้าได้ในเร็ววันนี้ กอปรกับรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ที่ออกมาสดใส ก็หนุนให้ บรรดาผู้เล่นในตลาดเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงเพิ่มเติม ส่งผลให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.78%

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 พลิกกลับมาปรับตัวขึ้นกว่า +1.08% หนุนโดยความหวังการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯกับสหภาพยุโรป ซึ่งภาพดังกล่าวได้หนุนให้บรรดาหุ้นกลุ่มยานยนต์ต่างปรับตัวขึ้นแรง อาทิ Porsche +6.7% รวมถึงบรรดาหุ้นกลุ่มสินค้าแบรนด์เนมก็ต่างปรับตัวสูงขึ้น อาทิ LVMH +3.1% อย่างไรก็ดี การปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นยุโรปก็ถูกกดดันบ้าง จากรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนฝั่งยุโรปที่ออกมาผสมผสาน

ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินโดยรวม ได้หนุนให้บอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อยเข้าใกล้โซน 4.40% อีกครั้ง อย่างไรก็ดีการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯก็เป็นไปอย่างจำกัด หลังผู้เล่นในตลาดต่างก็รอจับตาแนวโน้มการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯกับบรรดาประเทศคู่ค้า พร้อมทั้งรอลุ้น รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ และรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะหุ้นเทคฯใหญ่

ทั้งนี้คงมุมมองเดิมว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ หลัง Risk-Reward มีความน่าสนใจมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงโซน 4.50% ขึ้นไป สำหรับบอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯโดยจังหวะการทยอยเข้าซื้อดังกล่าวอาจกลับมาอีกครั้ง ในช่วงสัปดาห์ต้นเดือนสิงหาคมที่ตลาดจะรับรู้ แนวโน้มการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ อย่างยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls)

ทางด้านตลาดค่าเงินนั้น เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลง หลังรายงานข้อมูลตลาดบ้านของสหรัฐฯออกมาแย่กว่าคาด อีกทั้งบรรดาสกุลเงินหลัก นำโดยเงินยูโร (EUR) ก็ทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง ตอบรับความหวังสหภาพยุโรป (EU) อาจบรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯในเร็ววันนี้ ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ได้ปรับตัวลงสู่ระดับ 97.2 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 97.1-97.6 จุด)

ส่วนของราคาทองคำ แม้ว่าเงินดอลลาร์จะทยอยอ่อนค่าลง ทว่าบรรยากาศเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงิน ท่ามกลาง ความหวังการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯกับบรรดาประเทศคู่ค้า โดยเฉพาะสหภาพยุโรป (EU) ก็มีส่วนกดดันให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. 2025) ปรับตัวลดลงกว่า -40 ดอลลาร์ต่อออนซ์ สู่โซน 3,450 ดอลลาร์ต่อออนซ์

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มบรรดาเศรษฐกิจหลัก ทั้งในฝั่งสหรัฐฯ ยูโรโซน อังกฤษ และญี่ปุ่น ผ่านรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการ (Manufacturing & Services PMIs) เดือนกรกฎาคม

ส่วนในฝั่งยุโรป ไฮไลท์สำคัญ จะอยู่ที่การประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) ซึ่งเรามองว่า ECB จะเลือกคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Deposit Facility Rate) ที่ระดับ 2.00% ตามเดิม ซึ่งเป็นระดับที่บรรดาเจ้าหน้าที่ ECB ส่วนใหญ่ต่างมองว่าเป็นระดับที่เหมาะสม (Neutral Rate) ทั้งนี้เรามองว่า ในช่วงการแถลง Press Conference ของประธาน ECB Christine Largarde ทางประธาน ECB อาจยังคงระบุว่า ECB พร้อมปรับนโยบายการเงินให้สอดคล้องกับแนวโน้มภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งหนึ่งในปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจของ ECB คือ แนวโน้มการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ

ทางฝั่งสหรัฐฯ นอกเหนือจากรายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการ เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มตลาดแรงงานสหรัฐฯ ผ่านรายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) และรอลุ้นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจอื่นๆ เช่น ยอดขายบ้านใหม่ (New Home Sales) เดือนมิถุนายน และดัชนีภาวะธุรกิจโดยเฟดสาขา Kansas City

ส่วนในฝั่งไทยนั้น ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานยอดการส่งออกและนำเข้า (Exports & Imports) เดือนมิถุนายน ซึ่งอาจยังคงเห็นการขยายตัวในระดับที่สูงอยู่ของการส่งออกได้ ก่อนที่อัตราการเติบโตของยอดการส่งออกจะชะลอตัวลงอย่างชัดเจนในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ตามผลกระทบของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน และติดตามแนวโน้มการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับบรรดาประเทศคู่ค้าอย่างใกล้ชิด

สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาทได้แรงหนุนฝั่งแข็งค่าขึ้น ตามแนวโน้มการทยอยอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ หลังเงินยูโร (EUR) ทยอยแข็งค่าขึ้น ตอบรับความหวังการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯกับสหภาพยุโรป อย่างไรก็ดี จะเห็นได้ว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็ถูกชะลอลงบ้าง หลังราคาทองคำปรับตัวลดลง สอดคล้องกับมุมมองของเราก่อนหน้า ทำให้ เรายังขอคงมุมมองเดิมว่า แม้เงินบาทจะมีโอกาสทยอยแข็งค่าขึ้นบ้าง แต่การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็อาจเป็นไปอย่างจำกัด และเราคงเห็นความเสี่ยงที่เงินบาทจะทยอยอ่อนค่าลงได้บ้าง หากบรรยากาศในตลาดการเงินเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น อีกทั้งรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯยังคงทยอยออกมาสดใสดีกว่าคาด หนุนให้เงินดอลลาร์พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นได้บ้าง (แต่การแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ก็จะเป็นไปอย่างจำกัดเช่นกัน)

อย่างไรก็ดี ในช่วง 24 ชั่วโมงข้างหน้านั้น เรายอมรับว่า เงินบาทมีโอกาสแข็งค่าขึ้นทะลุแนวรับ 32.10 บาทต่อดอลลาร์ และอาจแข็งค่าขึ้นทะลุระดับ 32.00 บาทต่อดอลลาร์ได้ไม่ยาก เมื่อเราประเมินจากสถิติการเคลื่อนไหวของเงินบาท (USDTHB) ในช่วงหลังรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญต่างๆ และผลการประชุม ECB

นอกจากนี้ ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินโดยรวม ก็อาจยังหนุนให้บรรดานักลงทุนต่างชาติทยอยกลับเข้าซื้อสินทรัพย์ไทย อย่างหุ้นไทยเพิ่มเติมได้ ทว่า หากเงินบาทแข็งค่าขึ้นทะลุระดับ 32.00 บาทต่อดอลลาร์ ได้จริง เราก็พร้อมจะมองว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทควรใกล้ถึงจุดกลับตัว และเงินบาทจะเสี่ยงทยอยอ่อนค่าลงได้ ตามการประเมินในเชิง Valuation ที่เรามองว่า เงินบาทในระดับปัจจุบัน หรือต่ำกว่า 32.00 บาทต่อดอลลาร์นั้น จะเป็นระดับที่แข็งค่าเกินไปพอควร (Overvalued) ในระดับ เกิน +1 SD

ทั้งนี้มองว่าความผันผวนของเงินบาทที่อาจกลับมาสูงขึ้นได้ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และสถานการณ์การเมืองไทย ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.00-32.30 บาทต่อดอลลาร์

- Advertisement -spot_imgspot_img
RELATED ARTICLES
- Advertisment -spot_img
spot_img

Most Popular

spot_img
spot_img
- Advertisement -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img