ไม่ต้องถึงขั้นเป็นผู้รู้ทางการเมือง ขอแค่เป็นเพียงแค่คนติดตามข่าวสารประจำวัน ก็คงมองออกแล้วว่า บทสรุปของ “ม็อบร้อยชื่อ” ที่ยกตัวเองว่าเป็น กลุ่มราษฎร จะมีปลายทางอย่างไร
ยิ่งเมื่อเกิดความรุนแรงขึ้นบริเวณฝั่งเมเจอร์ รัชโยธิน หน้าร้านร้านแมคโดนัลด์ หลังการทำกิจกรรมของกลุ่มผู้ชุมนุมซึ่งใช้สัญญลักษณ์ชูสามนิ้ว บริเวณหน้าธนาคารไทยพาณิชย์สำนักงานใหญ่ เมื่อคืนวันที่ 25 พ.ย. มีทั้งเสียงปืนและระเบิดดังขึ้น จนทำให้มีผู้บาดเจ็บ แต่ที่น่าจะกระทบกับภาพลักษณ์พวกปลดแอกมากที่สุดคือ เหตุการณ์กระทบกระทั่งในครั้งนั้น เกิดจากความขัดแย้งกันเองของพวกเดียวกันเอง
หลังเกิดร้าย พล.ต.ท.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผบช.น. พร้อมด้วย พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ โฆษก ตร. พล.ต.ต.ปิยะ ต๊ะวิชัย รอง ผบช.น. และ พล.ต.ต.จิรพัฒน์ ภูมิจิตร รอง ผบช.น. ได้ออกมาร่วมแถลงข่าวกรณีเกิดเหตุยิงกัน โดยมีการแสดงชาร์ตเหตุการณ์และเปิดคลิปวิดีโอหลักฐานให้สื่อมวลชนดูด้วย
ผบช.น. ชี้แจงว่า เหตุดังกล่าวมีผู้บาดเจ็บจากอาวุธปืน และจากการถูกทำร้าย 2 คน ทั้งสองรายอยู่ในพื้นที่การชุมนุม และทำหน้าที่เป็นการ์ดรักษาความปลอดภัยให้ผู้ชุมนุม สาเหตุเบื้องต้นเกิดจากความโกรธแค้นส่วนตัว
ด้าน “พล.ต.ต.จิรพัฒน์” กล่าวลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า เหตุเกิดช่วงเวลาประมาณ 22.00 น. ได้มีสื่อมวลชนทำการแถลงข่าวบริเวณหน้าอเวนิว ตรงข้ามเอสซีบี ระหว่างนั้นมีผู้ก่อเหตุเดินผ่านกล้อง 3 คน โดยทั้ง 3 คนมีการทะเลาะชกต่อยกันกับอีกกลุ่มที่อยู่ใกล้กัน
โดยคนที่สวมหมวกกันน็อกสีขาวได้ไปชกต่อยกับกลุ่มคนอีกกลุ่ม ทำให้เพื่อนที่อยู่ใกล้ราว 10 คนได้กรูเข้ามาทำร้าย จากนั้นคนที่สวมหมวกกันน็อกได้ขว้างวัตถุชนิดหนึ่งออกไป ทำให้เกิดเสียงและมีกลุ่มควัน ก่อนทั้ง 3 คนจะวิ่งหลบหนีออกไปทางแยกรัชโยธิน
ระหว่างนั้นกลุ่มที่ถูกชกต่อยก็วิ่งไล่ติดตามไป ห่างจากจุดปาวัตถุระเบิดประมาณ 50 เมตร มีผู้ชายสวมฮู้ดแขนยาวสีเข้ม นุ่งกางเกงสีอ่อนขาสั้น วิ่งนำข้างหน้าและใช้อาวุธปืนยิงออกมา 4 นัด โดยหันปืนมาทางกลุ่มที่วิ่งไล่ตาม คนที่ถูกยิงได้ล้มลง ส่วนคนที่ยิงได้วิ่งหลบหนี
แต่ถูกประชาชนช่วยจับไว้ได้ ส่วนอาวุธปืนพกลูกโม่ ยี่ห้อสมิธแอนด์เวสสันตกในที่เกิดเหตุ พบปลอกในรังเพลิง 4 นัด ยังไม่ได้ยิงอีก 1 นัด ตรงกับพยานในที่เกิดเหตุที่บอกว่าได้ยินเสียงปืนดัง 4 นัด
“ฝ่ายสืบสวนได้รวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมดเป็นที่เพียงพอ และขออนุมัติศาลออกหมายจับเรียบร้อย และตัวผู้ต้องหาอยู่ รพ. โดยนายภาสพงศ์ กุลอมรกานต์ ผู้ใช้อาวุธปืนยิง ศาลอาญาออกหมายจับในความผิดพยายามฆ่าผู้อื่น, มีอาวุธและเครื่องกระสุนปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต, พาอาวุธปืนไปในเมืองหมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร ยืนยันว่าเหตุที่เกิดขึ้นไม่เกี่ยวกับเหตุยิงกันที่แยกเกียกกายแต่อย่างใด”
ขณะที่ “นายปกรณ์ พรชีวางกูร” หรือ “บุ๊ง” นักเคลื่อนไหวทางการเมืองเครือข่ายคนเสื้อแดง ซึ่งประกาศตัวเป็น “ท่อน้ำเลี้ยงม็อบ” และผู้สนับสนุนด้านสวัสดิการต่างๆ ออกแถลงการณ์ผ่านเฟซบุ๊กถึงการบริหารจัดการภายในม็อบ โดยยอมรับว่า การ์ดหลายๆ กลุ่มทะเลาะกันไม่ถูกกัน ในส่วนนี้ไม่มีใครอาสาจัดการ เราก็พยายามประสานรอยร้าวให้
แต่ที่แก้ไม่ได้เลยก็คือ การ์ดอาชีวะ ซึ่งไม่สามารถเข้าถึงความเป็นอาชีวะได้เลยแม้แต่นิดเดียว อาชีวะพอรวมตัวกันจะมีความยึดมั่นถือมั่นที่ตนพยายามจะเข้าใจแล้ว แต่ก็ไม่สำเร็จ
นั่นเท่ากับว่า ผู้ให้ทุนสนับสนุนม็อบชูสามนิ้ว ก็ยังออกมายอมรับ มีปัญหาความขัดแย้งภายในของเครือข่าย ที่เคลื่อนไหวเรียกร้องให้ 1.พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 2.ต้องยกร่างรัฐธรรมนูญ (รธน.) ใหม่ 3.ต้องมีการปฎิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งทำหน้าที่ดูแลความปลอดภัยให้ผู้ชุมนุม
อีกทั้งในสังคมออนไลน์ยังพบบคลิปเสียงปริศนา มีการแชร์คลิปวิดีโอซึ่งคาดว่าเป็นการ์ดคณะราษฎรพูดคุยกัน หลังเกิดเหตุการณ์ยิงปืนและปาระเบิดปิงปองจนมีผู้ได้รับบาดเจ็บ
โดยในคลิปความยาว 48 วินาที ที่มีการพูดคุยกันเช่นว่า “ผมเป็นคนเคลียร์ด้วย พอตอนที่มีปัญหากันระหว่าง 2 ฝ่าย”, “มีคนคนเดียวซึ่งพูดว่าเป็น มีนโปฯ”, “…ผมเก็บทุกอย่างแล้ว ..แต่ผมขออย่างเดียวอย่าให้สื่อรู้ ถ้าสื่อรู้เราเสียกันหมด”
นอกจากความรุนแรง และความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในความเคลื่อนไหว “ม็อบชูสามนิ้ว” ก็ยังมีประเด็นเกี่ยวข้องกับเงินบริจาค และ “ท่อน้ำเลี้ยง” ที่นำใช้จ่ายกัน ระหว่างการทำกิจกรรมในรูปแบบต่างๆ อย่าลืมว่าไม่ว่าการเคลื่อนไหวของคนเสื้อสีไหนก็ตาม ย่อมต้องมีค่าใช้จ่าย ย่อมต้องมีการใช้เงิน จะมากหรือน้อยหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับแนวทางและการเคลื่อนไหว
เช่นเดียวกับการเคลื่อนไหวของพวกปลดแอก หลังจากหลังจากเหตุการณ์ยิงกันเองในม็อบราษฎร บริเวณสำนักงานใหญ่ธนาคารไทยพาณิชย์ ในโลกโซเชียลก็มีการตั้งคำถามและติดแฮชแท็ก #แจงรายจ่ายม็อบด้วยจ้า
โดยตั้งคำถามและวิจารณ์ว่า เงินที่มีคนโอนเข้ามาบริจาคให้ม็อบนั้น บรรดาผู้ที่เกี่ยวข้องกับการดูแลเงินบริจาค หรือ “ท่อน้ำเลี้ยง” นำไปใช้จ่ายอะไรบ้าง พร้อมทั้งเรียกร้องให้แจกแจงรายละเอียดเพื่อให้เกิดความโปร่งใส รวมทั้งยังตั้งข้อสังเกตุ กรณีการจัดซื้อสิ่งของที่ไม่เป็นประโยชน์ เช่น ซื้อเป็ด ซื้อเอเลี่ยนยักษ์ราคาตัวละสองหมื่นห้า โชว์ในม็อบ แต่กลับไม่ซื้อเซฟตี้ให้การ์ด
อย่างไรก็ตามเมื่อพูดถึง “ท่อน้ำเลี้ยง” และการช่วยเหลือบรรดาพวกปลกแอกในรูปแบบต่าง ๆ เกือบทุกคนต่างก็รู้ว่า “ทราย เจริญปุระ” อดีตนักร้อง-นักแสดง ซึ่งมักไปโผล่ใน “วอยช์ทีวี” ที่มี “นายโอ๊ค” พานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ออกมาให้การสนับสนุนม็อบชูสามนิ้วอย่างเต็มที่ ร่วมทั้ง “เฮียบุ๊ง” ซึ่งแสดงจุดยืนต่อสาธารณชนมาตลอดว่า ให้การสนับม็อบชูสามนิ้ว

อย่างไรก็ตาม “ทราย” ปฎิเสธที่จะชี้แจงเกี่ยวกับเรื่องเงินบริจาค อ้างว่าผู้บริจาคหลายคนไม่ประสงค์ที่จะเปิดเผยชื่อ ส่วนพร๊อพต่างๆ ที่ตอนนี้ใช้เป็ดยาง ซึ่งใช้เงินจัดซื้อมานั้น ก็ใช้เพื่อลดความรุนแรงในกรณีเกิดเหตุเจ้าหน้าที่สลาย เพราะว่าซื้อโล่ เสื้อเกราะไม่ได้ อีกทั้งยังเชื่อว่า ไม่ได้คิดว่าจะมีคนติดใจเรื่องใช้เงิน ที่โอนเข้ามาในบัญชีส่วนตัว
พร้อมทั้งยังยืนยันว่า ไม่อนุญาตให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบที่มา ถ้าแจงรายจ่าย ก็ต้องแจงที่มารายรับทั้งหมดด้วย และถ้าในที่สุด ถ้าต้องการให้ให้แจงบัญชีงานซัปต่อๆ ไปของม็อบ จะหานักบัญชีมาเปิด และให้เค้าจัดการไปเลย
เช่นเดียวกับ “เฮียบุ๊ง” ซึ่งออกมาโพสต์เฟซบุ๊กตอนหนึ่ง ระบุว่า…“ตอนนี้มีสินค้ามาฝากให้กุกับทราย Tie-in ในม็อบเยอะมากๆ แต่พวกกุก็เลือกเอาเฉพาะที่เป็นประโยชน์กับผู้ชุมนุมเท่านั้น แล้วก็พร็อพต่างๆ ในงานเมื่อวานที่เป็นดรามา ว่าพวกกุทำอะไรไร้สาระ กุจะบอกนะว่า ที่กุสั่งกันเข้ามา เช่น เป็ด หรือม้าโพนี่ ไม่ได้เพื่อเอามาวางสวยๆ ไว้ถ่ายรูป
แต่กุสั่งของพวกนี้เข้ามาก็เพราะว่ากุมองว่า หากเกิดการปะทะ มีการเขวี้ยงของและฉีดน้ำสารเคมีใส่ผู้ชุมนุม ทุกคนสามารถยกตุ๊กตาสูบลมพวกนี้มาบังหัว บังหน้าได้ การปะทะที่เกียกกาย มันก็ชัดแล้วว่าอุปกรณ์พวกนี้ใช้ได้จริง แต่เมื่อวานแกนนำมันแกง ซึ่งพวกกุก็ไม่รู้ว่าแผนเปลี่ยน แต่ของก็สั่งมาแล้วก็เป่าลมกันขำๆ วางไว้ให้คนถ่ายรูปเล่น
ส่วนดราม่า ให้แจงเรื่องเงิน…กุกับทราย ขอตอบเลยว่า…ไม่แจง และจะไม่แจงแม้แต่บาทเดียว กุจะเอาไปทำไรก็เรื่องของพวกกุ ใครมีปัญหาเรื่องนี้ นั่นคือเรื่องของมึง ไม่ใช่เรื่องของกุ”
จริงก็เข้าใจได้ การเปิดเผยเรื่องรับรายจ่ายเรื่องจ่ายจากการทำกิจกรรม อาจกระทบกับภาพลักษณ์ “ม็อบราษฎร” โดยเฉพาะบรรดาผู้สนับสนุนในรูปแบบต่างๆ ยิ่งข้อเรียกร้องในการเคลื่อนไหวของเจ้าของสัญญลักษณ์ชูสามนิ้ว กระทบกับผู้กุมอำนาจรัฐเต็มๆ
แถมยังมีข้อเรียกร้องทะลุฟ้าทุเพดาน ซึ่งเกี่ยวข้องกับการปฎิรูปสถาบัน อาจทำให้บรรดาาผู้สนับสนุนปัจจัยด้านต่างๆ ยากที่จะเปิดเผยตัว ด้วยเกรงว่า จะมีปัญหาตามมาภายหลัง
แต่จะว่าไปถ้าแกะร่องรอยและเบื้องหลัง “ทราย” และ “ปกรณ์” แล้ว ก็เดาได้ไม่ยากว่า ใครเป็นท่อน้ำเลี้ยงตัวจริง เพียงแต่ว่าในแง่การกระทำผิดกฎหมาย อาจเป็นเรื่องของการตีความ แต่ในแง่ทางการเมือง ถ้าหากถูกเปิดโปง และมีหลักฐานแบบจับให้มั่นคั้นให้ตาย ย่อมสร้างความเสียหายจนคาดไม่ถึง ยิ่งบรรดาแกนนำผู้ชุมนุมเรียกร้อง ไม่ให้เกิดสภาพสองมาตรฐานในการบังคับใช้กฎหมาย แต่พอเวลาเป็นเรื่องของพวกเดียวกันเอง กลับไม่ทำให้เกิดความโปร่งใส

ขณะที่รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กำลังได้รับเสียงชื่นชมจากบรรดาพ่อค้า-แม่ค้า ในโครงการคนละครึ่ง ส่วนบรรดาม็อบชูสามนิ้วก็ดูเหมือน จะหลงไหลได้ปลื้มกับท่อน้ำเลี้ยง ซึ่งอาจจะเชื่อมโยงไปถึงผู้มากบารมีซึ่งเป็นเพศหญิง และนักเคลื่อนไหวชายคนดัง ที่มักเห็นภาพเชื่อมโยงกับกับทำกิจกรรมของพวกปลดแอกเกือบทุกครั้ง
หรือทั้งผู้กุมอำนาจรัฐและฝ่ายที่ต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในบ้านเมือง ต่างพึ่งพา “โครงการคนละครึ่ง” เช่นเดียวกัน ส่วนใครจะไปสู่เป้าหมายที่วางไว้ เชื่อว่าอีกไม่นานคงได้รู้คำตอบ
………………………………
คอลัมน์ : ล้วง-ลับ-ลึก
โดย “แมวสีขาว”