หน้าแรกHighlight“เงินบาท”เปิดตลาดอ่อนค่าลงเล็กน้อย คาด“เฟด”ชะลอลดดอกเบี้ยเดือน ธ.ค.

“เงินบาท”เปิดตลาดอ่อนค่าลงเล็กน้อย คาด“เฟด”ชะลอลดดอกเบี้ยเดือน ธ.ค.

- Advertisement -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.46 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย” ตลาดคาดเฟดอาจชะลอการลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธ.ค.ออกไปก่อน เหตุขาดข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ในเดือนต.ค.-พ.ย.ที่จะทยอยประกาศในวันที่ 16 ธ.ค.นี้

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.46 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย” จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.44 บาทต่อดอลลาร์ โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวไร้ทิศทางที่ชัดเจน ทว่าก็มีจังหวะอ่อนค่าลงเข้าใกล้โซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์อีกครั้ง (แกว่งตัวในกรอบ 32.36-32.48 บาทต่อดอลลาร์) สอดคล้องกับการเคลื่อนไหวไร้ทิศทางเช่นกันของทั้งเงินดอลลาร์และราคาทองคำ (XAUUSD)

โดยรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯจากทาง BLS ล่าสุด สะท้อนภาพตลาดแรงงานสหรัฐฯในเดือนกันยายนที่มีความผสมผสาน แม้ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) จะเพิ่มขึ้น 1.19 แสนราย ดีกว่าที่ตลาดคาดไว้เพียงราว 5 หมื่นราย ทว่าก็มีการปรับลดยอดการจ้างงานฯที่ประกาศในเดือนก่อนหน้า (ทำให้โดยรวมการจ้างงานของสหรัฐฯยังมีแนวโน้มชะลอลง)

ส่วนอัตราการว่างงาน (Unemployment Rate) แม้จะปรับตัวสูงขึ้น สู่ระดับ 4.44% แย่กว่าที่ตลาดคาด 4.3% แต่ส่วนหนึ่งก็มาจากอัตราการเข้าสู่ตลาดแรงงาน (Participation Rate) ที่สูงขึ้นสู่ระดับ 62.4% ซึ่งภาพดังกล่าว ทำให้บรรดาผู้เล่นในตลาด รวมถึงบรรดานักวิเคราะห์ต่างก็มีมุมมองที่หลากหลายเกี่ยวกับแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดในการประชุมเดือนธันวาคม ทว่าผู้เล่นในตลาดส่วนใหญ่ต่างก็มองว่า เฟดอาจจะขาดการรับรู้ข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯในเดือนตุลาคมและเดือนพฤศจิกายน ที่จะทยอยประกาศในวันที่ 16 ธันวาคม หลังการประชุม FOMC เดือนธันวาคม ทำให้เฟดอาจชะลอการลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธันวาคมไปก่อน สอดคล้องกับโอกาสการปรับลดดอกเบี้ยของเฟดในเดือนธันวาคม ที่ยังต่ำกว่า 40%

ทั้งนี้ผู้เล่นในตลาดก็มองว่า เฟดอาจเลื่อนการลดดอกเบี้ยไปยังการประชุมเดือนมกราคมได้ ทำให้เฟดมีโอกาสลดดอกเบี้ย 3-4 ครั้งในปี 2026 และนอกเหนือจากความไม่แน่นอนของแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ตลาดการเงินยังเผชิญความผันผวนจากราคาหุ้นกลุ่มเทคฯ โดยเฉพาะกลุ่มธีม AI/Semiconductor หลังราคาหุ้นกลุ่มดังกล่าว พลิกกลับมาปรับตัวลงหนัก จากที่ปรับตัวขึ้นแรงในช่วงแรกของการซื้อขาย ตอบรับผลประกอบการของ Nvidia ที่ดีกว่าคาด โดยผู้เล่นในตลาดยังคงกังวลต่อความยั่งยืนของผลประกอบการ โดยเฉพาะประเด็น Circular Deal กันในกลุ่ม และระดับมูลค่าที่สูงมากของหุ้นกลุ่มดังกล่าว

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เคลื่อนไหวผันผวนสูง แม้ในช่วงแรกจะได้อานิสงส์จากการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นธีม AI/Semi conductor ตอบรับรายงานผลประกอบการของ Nvidia ที่สดใส ทว่าผู้เล่นในตลาดก็เลือกจะเทขายหุ้นกลุ่มดังกล่าวจากทั้งความกังวลแนวโน้มผลประกอบการของหุ้นธีม AI/Semiconductor ที่อาจไม่ยั่งยืน อีกทั้งระดับมูลค่าหุ้นกลุ่มดังกล่าวก็ยังอยู่ในระดับสูง และแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดก็ยังมีความไม่แน่นอน หลังรับรู้ข้อมูลการจ้างงานในเดือนกันยายน ล่าสุดส่งผลให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด -1.56% ส่วนดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ดิ่งลง -2.15%

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้น +0.40% หนุนโดยการรีบาวด์ขึ้นของบรรดาหุ้นกลุ่มเทคฯ ธีม AI/Semiconductor ตอบรับรายงานผลประกอบการของ Nvidia ที่ออกมาสดใส ส่วนหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมการบินและการทหาร ก็รีบาวด์ขึ้นบ้าง หลังเผชิญแรงเทขายรุนแรงจากประเด็นสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่สหรัฐฯกลับมาพยายามยุติสงครามดังกล่าวอีกครั้ง

ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์นั้นพบว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯพลิกกลับมาทยอยปรับตัวลดลงสู่ระดับ 4.09% ตามภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ และมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่แม้จะไม่มั่นใจต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดในเดือนธันวาคมนี้ แต่ผู้เล่นในตลาดก็มองว่า เฟดอาจเพียงเลื่อนไปลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนมกราคม ซึ่งอาจทำให้เฟดสามารถลดดอกเบี้ย 3-4 ครั้งได้ในปี 2026 ทั้งนี้ขอย้ำว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯอาจเคลื่อนไหวผันผวนได้ในช่วงนี้ ตามการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ภาวะตลาดการเงินโดยรวม และประเด็นการพิจารณาคดีมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯโดยศาลสูงสุด

อย่างไรก็ตาม หากบอนด์ยีลด์สหรัฐฯสามารถปรับตัวสูงขึ้นต่อได้ ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ (เน้นกลยุทธ์ Buy on Dip เท่านั้น และไม่ไล่ราคาซื้อ) เนื่องจาก เราคงประเมินว่า เฟดยังมีแนวโน้มทยอยเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมได้อีก 3 ครั้ง ครั้งละ 25bps จบที่ระดับ 3.25% ทำให้อาจยังพอเห็นการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯ จากระดับ ณ ปัจจุบันได้บ้าง

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวผันผวนไร้ทิศทางที่ชัดเจน แม้จะพอได้แรงหนุนบ้างจากภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ ทว่าเงินดอลลาร์ก็ถูกกดดันบ้าง มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ประเมินว่า เฟดอาจเพียงเลื่อนการลดดอกเบี้ยในเดือนธันวาคมนี้ เป็นเดือนมกราคมปีหน้า จากรายงานข้อมูลตลาดแรงงานที่ออกมาผสมผสานล่าสุด แต่เฟดก็มีแนวโน้มทยอยลดดอกเบี้ยราว 3-4 ครั้งในปี 2026 ได้ นอกจากนี้การเคลื่อนไหวผันผวนสูงของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ก็มีส่วนกระทบต่อเงินดอลลาร์เช่นกัน ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ยังคงแกว่งตัวแถวโซน 100.2 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 100-100.4 จุด)

ส่วนของราคาทองคำ แม้ภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการสหรัฐฯจะพอช่วยหนุนราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.2025) ทว่ามุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ยังคงไม่มั่นใจต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ก็เป็นปัจจัยที่กดดันราคาทองคำอยู่ ทำให้ราคาทองคำยังคงเคลื่อนไหวไร้ทิศทางที่ชัดเจนแถวโซน 4,080 ดอลลาร์ต่อออนซ์

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่รายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการ (Manufacturing & Services PMIs) ในเดือนพฤศจิกายน ของบรรดาประเทศเศรษฐกิจหลัก ทั้งสหรัฐฯ ยูโรโซน อังกฤษ และญี่ปุ่น

นอกจากนี้ ในฝั่งอังกฤษ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานยอดค้าปลีก (Retail Sales) ในเดือนตุลาคม เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจและทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE)

นอกจากนี้ผู้เล่นในตลาดจะติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางหลัก ทั้งเฟด ธนาคารกลางยูโรโซน (ECB) และธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) พร้อมทั้งรอลุ้นรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน พร้อมทั้งรอติดตามพัฒนาการของสงครามรัสเซีย-ยูเครน หลังสหรัฐฯได้พยายามยุติสงครามดังกล่าวอีกครั้ง

สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า เงินบาท (USDTHB) อาจเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways แต่ก็มีความเสี่ยงที่อาจจะสามารถทยอยอ่อนค่าลด ทดสอบโซนแนวต้านแถว 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ได้ไม่ยาก โดยเฉพาะในจังหวะที่บรรยากาศในตลาดการเงินกลับมาอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง จากแรงขายหุ้นธีม AI/Semiconductor ซึ่งตลาดหุ้นไทยก็อาจเผชิญแรงกดดันได้ไม่ยากและมีโอกาสที่จะเห็นแรงขายหุ้นไทยจากนักลงทุนต่างชาติเพิ่มเติมได้

นอกจากนี้ เรามองว่า เงินบาทก็อาจเผชิญแรงกดดันเพิ่มเติมจากโฟลว์ธุรกรรมซื้อเงินเยนญี่ปุ่น (JPYTHB) หลังเงินเยนญี่ปุ่นได้อ่อนค่าลงมาพอสมควรและยังไม่มีแนวโน้มที่จะกลับมาแข็งค่าขึ้นชัดเจนได้ จนกว่าตลาดจะเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด หรือคลายกังวลต่อประเด็นความเสี่ยงที่กระทบเศรษฐกิจและตลาดการเงินญี่ปุ่นในขณะนี้ (ความกังวลเสถียรภาพการคลัง ความสัมพันธ์กับจีน ซึ่งมีผลต่อแนวโน้มดอกเบี้ยของธนาคารกลางญี่ปุ่น) นอกจากนี้ แม้ตลาดการเงินจะอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง แต่หากความกังวลแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดยังอยู่ ก็อาจไม่ได้ช่วยหนุนให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นได้ ดังที่เห็นในช่วงคืนที่ผ่านมา ทำให้เงินบาทก็ขาดอานิสงส์จากราคาทองคำได้ แต่ในทางกลับกัน หากราคาทองคำย่อตัวลง เรามองว่าผู้เล่นในตลาดก็อาจรอทยอยเข้าซื้อ ซึ่งโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็อาจกดดันเงินบาทได้บ้าง ทำให้เงินบาทก็ยังคงมีโซนแนวรับแถว 32.30 บาทต่อดอลลาร์

แม้เงินบาทจะเสี่ยงอ่อนค่าลงบ้าง แต่เรามองว่า ผู้เล่นในตลาด อย่างกลุ่มผู้ส่งออก ต่างก็รอทยอยขายเงินดอลลาร์ในช่วงนี้ รวมถึงผู้เล่นในตลาดบางส่วนก็อาจมีการปรับลดสถานะ Short THB (มองเงินบาทอ่อนค่าลง) ซึ่งสอดคล้องกับการทยอยขายทำกำไรสถานะ Long USD (มองเงินดอลลาร์แข็งค่า) กันบ้าง ทำให้เงินบาทก็อาจยังไม่สามารถอ่อนค่าลงต่อเนื่องอย่างชัดเจนได้ และเราขอย้ำว่า เรายังมองว่า เงินบาทยังมีแนวโน้มทยอยแข็งค่าขึ้น จบสิ้นปีนี้ที่ระดับ 32 บาทต่อดอลลาร์ หรืออาจแข็งค่ากว่าได้เล็กน้อย (การวิเคราะห์โดยละเอียดสามารถรอติดตามได้จาก Global FX Outlook 2026 ของเรา) ยกเว้นว่า เงินบาทจะกลับมาอ่อนค่าทะลุโซน 32.65 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน เราถึงจะเชื่อว่า เงินบาทกลับสู่แนวโน้มอ่อนค่าลงอีกครั้ง ตามการประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend-Following

อย่างไรก็ตาม ความผันผวนของเงินบาทได้กลับมาสูงขึ้นอีกครั้ง ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด รวมถึงบรรดาธนาคารกลางหลักต่างๆ ประเด็นการเมืองสหรัฐฯ ที่ต้องจับตาทั้งสถานการณ์ Government Shutdown (ที่จะกลับมาอีกครั้งในช่วงต้นปี 2026) และการพิจารณาคดีมาตรการภาษีนำเข้าโดยศาลสูงสุด (Supreme Court) ทำให้เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options หรือพิจารณาใช้สกุลเงินท้องถิ่น (Local Currencies) เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.35-32.50 บาทต่อดอลลาร์

- Advertisement -spot_imgspot_img
RELATED ARTICLES

HIGHLIGHT

- Advertisment -spot_img
spot_img

Most Popular

- Advertisement -spot_img
spot_img
- Advertisement -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img