“….กองทัพบกมีความกังวลเป็นอย่างยิ่งต่อรูปแบบการนำเสนอข่าวและท่าทีของฝ่ายกัมพูชา ซึ่งส่อเจตนาถึง “กระบวนการปฏิบัติการข่าวสาร” ที่มีการเตรียมการและประสานงานกันอย่างผิดสังเกต….”
@@@……สวัสดีท่านผู้อ่านทุกท่าน พบกันทุกวันเสาร์กับคอลัมน์ “Military Key” ทางเว็บไซต์ https:// thekey.news ซึ่งตรงกับวันเสาร์ที่ 22 พ.ย.68 สถานการณ์ชายแดนไทย กัมพูชา ยังไม่มีทีท่าว่าจะสงบ ล่าสุดมีการกล่าวหาว่าเจ้าหน้าที่ทหารพรานไทย จำนวน 7 นาย ได้กระทำการหน่วงเหนี่ยวกักขัง ทำร้ายร่างกาย ปล้นทรัพย์ และล่วงละเมิดทางเพศแรงงานชาวกัมพูชา ณ บริเวณชายแดนจังหวัดพระตะบอง
@@@…….พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ได้ชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องแก่สาธารณชน ดังนี้ จากการตรวจสอบข้อเท็จจริง ยืนยันได้ชัดเจนว่าเป็น “ข่าวปลอม” (Fake News) ซึ่งทันทีที่ปรากฏข่าวดังกล่าว ฝ่ายไทยได้สั่งการให้หน่วยทหารที่รับผิดชอบพื้นที่ตลอดแนวชายแดนไทย–กัมพูชา ติดกับ จ.พระตะบอง ได้แก่ กองกำลังบูรพา (จ.สระแก้ว) และประสานงานร่วมกับ กองทัพเรือ (จ.จันทบุรี และ จ.ตราด) ดำเนินการตรวจสอบอย่างเร่งด่วน โดยสอบสวนทหารพรานและชุดปฏิบัติการลาดตระเวนทุกชุดที่ปฏิบัติหน้าที่ในคืนวันที่ 15 พ.ย.2568 (ตามเวลาที่ถูกกล่าวหา) ผลปรากฏว่าไม่พบเหตุการณ์ตามที่ถูกกล่าวหา และ ไม่มีการตรวจพบหรือจับกุมกลุ่มแรงงานต่างด้าวจำนวน 13 คน ในวันและเวลาดังกล่าวแต่อย่างใด
@@@…….ข้อสังเกตต่อขบวนการบิดเบือนข้อมูลข่าวสาร (Information Operation) โดยกองทัพบกมีความกังวลเป็นอย่างยิ่งต่อรูปแบบการนำเสนอข่าวและท่าทีของฝ่ายกัมพูชา ซึ่งส่อเจตนาถึง “กระบวนการปฏิบัติการข่าวสาร” ที่มีการเตรียมการและประสานงานกันอย่างผิดสังเกต ทั้งในด้านความสอดประสานของเวลา โดยมีการออกแถลงการณ์โจมตีฝ่ายไทยอย่างพร้อมเพรียงจากหลายหน่วยงาน ได้แก่ กระทรวงแรงงานฯ กระทรวงวัฒนธรรมฯ สหภาพแรงงาน และคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนกัมพูชา (CHRC) ภายในระยะเวลาเพียง 1–2 วัน
@@@…….นอกจากนี้ ยังปรากฏการผลิตซ้ำชุดข้อมูลเดิม โดยทุกแถลงการณ์ใช้ข้อมูลเดียวกัน ซึ่งยังไม่ผ่านการพิสูจน์ข้อเท็จจริงร่วมกัน แต่กลับด่วนสรุปกล่าวโทษไทยและอ้างกฎหมายระหว่างประเทศ เพื่อมุ่งทำลายภาพลักษณ์ของประเทศไทยในเวทีโลก ที่สำคัญ ฝ่ายกัมพูชาใช้วิธี ตัดตอนพยานหลักฐาน โดยอ้างว่าเหยื่อถูกปล่อยตัวกลับประเทศแล้ว จึงค่อยมาแจ้งเหตุ ทำให้ฝ่ายไทยไม่สามารถตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุหรือพิสูจน์ทราบตัวบุคคลได้ในทันที ซึ่งผิดวิสัยการปฏิบัติงานชายแดนปกติ ที่ต้องมีการประสานข้อมูลกันอย่างใกล้ชิด
@@@…….กองทัพบกขอยืนยันว่า ทหารพรานไทยยึดถือระเบียบวินัยและเคารพหลักสิทธิมนุษยชนอย่างเคร่งครัด การกล่าวหาทหารไทยในเรื่อง “ข่มขืน รีดไถ ทุบตี” อาจเป็นเพียงการให้ข้อมูลเท็จของบุคคลที่ทำทีเป็นผู้เสียหาย ที่มีลักษณะมีกลุ่มกระบวนการคอยใส่ร้ายป้ายสีคอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง มีการแบ่งหน้าที่กันทำ เป็นการสมคบคิดกันจัดฉากใส่ร้ายทหารไทย ทั้งนี้อาจเพียงเพื่อต้องการจะเบี่ยงเบนประเด็นความสนใจเรื่อง ทุ่นระเบิด และ เรื่อง Cyber Scam ที่กำลังถูกจับจ้องจากนานาชาติและสังคมโลก
@@@…….สำหรับกรณีที่รองโฆษกกระทรวงมหาดไทยกัมพูชาระบุว่า คำชี้แจงของไทยคือการบิดเบือนนั้น ขอเรียนว่า “ความจริงต้องพิสูจน์ด้วยพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่การระดมออกแถลงการณ์โจมตีฝ่ายเดียว” การด่วนสรุปโดยไม่ผ่านกลไกทวิภาคีใดๆ สะท้อนให้เห็นถึงเจตนาที่ไม่บริสุทธิ์ ฝ่ายไทยคงจะไม่ยอมรับการกระทำอันใดที่ยังมีลักษณะเข้าข่ายถึงความเป็นปฏิปักษ์ต่อกันในลักษณะเช่นนี้ และขอเรียกร้องให้ฝ่ายกัมพูชาได้มีความซื่อตรง แสดงความจริงใจต่อการแก้ปัญหา และยุติการใช้กลไกของรัฐมาสร้าง และสนับสนุนการสร้างเรื่องราวที่เป็นเท็จ เพื่อใช้หลอกลวงนานาชาติและสังคมโลก

@@@…….กองบัญชาการกองทัพไทย….พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมว.กลาโหม เป็นประธานการประชุมสภากลาโหม ครั้งที่ 10/2568 และการตรวจเยี่ยมหน่วยเพื่อมอบนโยบายเป็นแนวทางการปฏิบัติงานส่วนราชการกองบัญชาการกองทัพไทยมี พล.อ. อุกฤษฎ์ บุญตานนท์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ให้การต้อนรับ โดยรมว.กลาโหม ได้รับฟังการบรรยายภารกิจของกองบัญชาการกองทัพไทย และได้มอบแนวทางในการปฏิบัติราชการ โดยเน้นย้ำใน 2 เรื่องหลัก ได้แก่ การให้ความสำคัญอย่างสูงสุดกับการถวายความอาลัยและน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง รวมทั้งการสนับสนุนสำนักพระราชวังและรัฐบาล ในการจัดงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพฯ เพื่อถวายพระเกียรติสูงสุด และการปฏิบัติภารกิจป้องกันประเทศ โดยขอให้กองบัญชาการกองทัพไทยเร่งรัดและลงรายละเอียดการดำเนินงานให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็ว รวมทั้งการประสานกับส่วนราชการภายในและภายนอกกองทัพ เพื่อให้กองทัพมีความพร้อมสูงสุดในการรับมือกับเหตุการณ์การรุกล้ำอธิปไตย ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา

@@@…… นอกจากนี้ รมว.กลาโหม ยังได้เร่งรัดในประเด็นสำคัญ ๆ ได้แก่ การเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรม การพัฒนาพื้นที่ชายแดนให้มีความมั่นคงปลอดภัยและเกื้อกูลต่อการปฏิบัติการทางทหาร การติดตามดูแลสิทธิกำลังพลที่เสร็จสิ้นจากภารกิจราชการสนามให้ได้รับสิทธิอย่างครบถ้วน การพัฒนาขีดความสามารถทางทหารด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะการใช้และการต่อต้านโดรน การดูแลและสนับสนุนชุดผู้สังเกตการณ์อาเซียน หรือ AOT ให้สามารถปฏิบัติงานได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และมีความเป็นกลาง ตามที่ TOR กำหนด

@@@…….ที่กองบัญชาการกองทัพไทย โดย ศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ (ศทช.) หน่วยปฏิบัติการทุ่นระเบิดด้านมนุษยธรรมที่ 1 ร่วมกับกองกำลังบูรพา จัดกำลังพลสนับสนุนกรมแผนที่ทหาร และแม่กองสนาม กรมแผนที่ทหาร ภารกิจสำรวจ และจัดทำหมุดเขตแดนชั่วคราว บริเวณหลักเขตที่ 42 ซึ่งขั้นตอนแรกเป็นการใช้โดรนบินสำรวจด้วยเทคโนโลยี LiDAR เพื่อถ่ายภาพทางอากาศ ณ บ้านหนองหญ้าแก้ว ตำบลโคกสูง อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว ผลการปฏิบัติเป็นไปด้วยความเรียบร้อย

@@@…….โดยศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ (ศทช.) หน่วยปฏิบัติการทุ่นระเบิดด้านมนุษยธรรมที่ 1 ปฏิบัติงานเก็บกู้ทุ่นระเบิด จำนวน 1 พื้นที่ โดยปฏิบัติงานพื้นที่ บ้านหนองจาน ตำบลโนนหมากมุ่น อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว ขนาดพื้นที่ 99,800 ตารางเมตร ดำเนินการตรวจสอบทางเทคนิคพื้นที่ ได้พื้นที่ปลอดภัย จำนวน 1,385 ตารางเมตร คิดเป็น 1.38% โดยไม่พบทุ่นระเบิด ทั้งนี้ สรุปผลการปฏิบัติงานเก็บกู้ทุ่นระเบิด พื้นที่บ้านหนองจาน ตำบลโนนหมากมุ่น อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว ตั้งแต่วันที่ 8 พ.ย. 2568 ถึงปัจจุบัน ได้พื้นที่ปลอดภัยจำนวนทั้งสิ้น 2,585 ตารางเมตร คิดเป็น 2.59% คงเหลือพื้นที่ที่ได้รับการยืนยันว่ามีทุ่นระเบิด จำนวนทั้งสิ้น 97,215 ตารางเมตร คิดเป็น 97.41% รวมพบทุ่นระเบิดและสรรพาวุธระเบิดที่ยังไม่ระเบิด จำนวน 2 รายการ (PMN จำนวน 1 ทุ่น และ UXO จำนวน 1 นัด) ภารกิจดังกล่าวสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของกองบัญชาการกองทัพไทย และศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ ในการขจัดภัยคุกคามจากทุ่นระเบิด เพื่อคืนความปลอดภัย และความมั่นคงให้กับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ชายแดนไทย–กัมพูชา

@@@…….กองทัพบก นำคณะผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารต่างประเทศประจำประเทศไทย รวม 20 นาย จาก 17 ประเทศ เดินทางลงพื้นที่กองกำลังบูรพา จ.สระแก้ว เพื่อเยี่ยมชมการปฏิบัติงานด้านความมั่นคงสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลในพื้นที่ชายแดนไทย – กัมพูชา ภายใต้กิจกรรม Army Open House ของกรมข่าวทหารบก ที่จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 2 โดยมี พล.ท.ธีรนันท์ นันทขว้าง เจ้ากรมข่าวทหารบก เป็นหัวหน้าคณะเดินทาง ในการลงพื้นที่กองกำลังบูรพา คณะได้เดินทางไปยัง กองพันทหารราบที่ 12 กรมทหารราบที่ 3 รักษาพระองค์ ค่ายสุรสิงหนาท อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว รับฟังการบรรยายสรุปเกี่ยวกับสถานการณ์ด้านความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนไทย – กัมพูชา เพื่อรับทราบข้อมูลพื้นที่ปฏิบัติการ และการดำเนินงานของกองกำลังบูรพา หลังรัฐบาลได้มีมติระงับข้อตกลงในปฏิญญาร่วม และทางการไทยยืนยันที่จะดำเนินการในส่วนของประเทศไทย เพื่อความปลอดภัยให้ประชาชน โดยมี พล.ต.เบญจพล เดชาติวงศ์ ณ อยุธยา ผู้บัญชาการกองกำลังบูรพา ให้การต้อนรับ

@@@…….ภายหลังการบรรยายสรุป คณะได้เดินทางไปเยี่ยมชมการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ณ จุดผ่านแดนถาวรบ้านคลองลึก ซึ่งเป็นด่านชายแดนสำคัญในการควบคุมการสัญจรและการค้าชายแดนฝั่งตะวันออก ตั้งอยู่ตรงข้ามกับเมืองปอยเปต ประเทศกัมพูชา ซึ่งในบริเวณดังกล่าวสามารถสังเกตเห็นอาคาร Entertainment Complex ได้อย่างชัดเจน โดยคณะได้รับฟังการบรรยายสรุปเกี่ยวกับแหล่ง Scam Center ในฝั่งปอยเปต สถานการณ์ และ การปราบปรามขบวนการ จากนั้นได้เดินทางไปยังพื้นที่บ้านหนองจาน เพื่อตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงานเก็บกู้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล และบ้านหนองหญ้าแก้ว ในการจัดการชายแดน และสำรวจสภาพความเสียหายจากการยิงยั่วยุของฝ่ายกัมพูชาที่ผ่านมา

@@@…….กิจกรรม Army Open House ในครั้งนี้ทำให้คณะผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารต่างประเทศประจำประเทศไทย ได้รับทราบถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในพื้นที่ และเข้าใจบริบทความซับซ้อนของปัญหาชายแดนระหว่างไทยและกัมพูชา รวมทั้งเห็นถึงความพยายามของฝ่ายไทยในการแก้ไขปัญหาและสนับสนุนการสร้างสันติภาพตามกรอบข้อตกลงระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัด ซึ่งข้อมูลสำคัญดังกล่าว จะทำให้คณะผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารต่างประเทศ สามารถสื่อสารขยายผลไปยังประเทศของตนได้อย่างถูกต้องและทันต่อสถานการณ์

@@@…….ที่กองบัญชาการกองทัพบก พล.อ.ชัยพฤกษ์ ด้วงประพัฒน์ เสนาธิการทหารบก ผู้แทนผู้บัญชาการทหารบก เป็นประธานในพิธีรับมอบเงินบริจาค จำนวน 160,000 บาท จาก พล.ต.จาง หลินหง (Zhang LinHong) ผู้ช่วยทูตฝ่ายทหาร สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำประเทศไทย เพื่อเข้ากองทุนสวัสดิการกองทัพบก สำหรับเป็นทุนการศึกษาให้แก่บุตรของกำลังพลกองทัพบก ความสัมพันธ์ระหว่างไทย และสาธารณรัฐประชาชนจีน มีความสัมพันธ์ที่ดีอย่างใกล้ชิดในทุกๆ ด้าน อย่างหลากหลายมิติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการทหารระหว่างกองทัพของทั้งสองประเทศ ได้มีการแลกเปลี่ยนการเยือนในทุกระดับ, การฝึกร่วมผสม และความร่วมมือที่สำคัญในด้านต่างๆ รวมทั้งการแลกเปลี่ยนการศึกษา จึงทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ มีความผูกพันที่ใกล้ชิดกันมาอย่างยาวนาน มีการพัฒนาที่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็วและราบรื่นมาโดยตลอด และเป็นแบบอย่างหนึ่งที่สำคัญและหน้าที่ในการส่งเสริมความสัมพันธ์ด้านการทหารระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีน

@@@…….กองทุนสวัสดิการกองทัพบก จัดตั้งขึ้นเพื่อนำรายได้ที่ได้มาจากการจัดสวัสดิการของกองทัพบก รวมทั้งการได้รับบริจาคจากหน่วยงานต่างๆ ไปจัดสวัสดิการเพิ่มเติมให้แก่กำลังพลและครอบครัว นอกเหนือจากสิทธิกำลังพลตามที่ราชการจัดให้ โดยคำนึงถึงความมุ่งหมายเพื่อให้กำลังพลมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นตามสมควร และสามารถดำรงตนอยู่ในสังคมได้อย่างมีเกียรติและศักดิ์ศรีของทหาร ในโอกาสนี้ กองทัพบก ขอขอบคุณ พล.ต.จาง หลินหง (Zhang LinHong) ผู้ช่วยทูตฝ่ายทหาร สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำประเทศไทย ที่มีความตั้งใจและห่วงใยกำลังพลของกองทัพบก รวมถึงครอบครัวของกำลังพลในด้านการศึกษา ที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง ยังเป็นการบำรุงขวัญเพิ่มกำลังใจ ให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ป้องกันประเทศได้อย่างเต็มกำลังความสามารถ ทั้งนี้กองทัพบกจะนำเงินดังกล่าว เข้ากองทุนสวัสดิการกองทัพบกสำหรับเป็นทุนการศึกษาให้แก่บุตรของกำลังพลกองทัพบกต่อไป

@@@…….การป้องกันอุทกภัยเขตเมืองเชียงใหม่…..นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย พร้อมด้วย พล.อ.อุกฤษฎ์ บุญตานนท์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และคณะ ร่วมพิธีส่งมอบโครงการเพิ่มศักยภาพการรองรับและการไหลของแม่น้ำปิง เพื่อป้องกันอุทกภัยเขตเมืองเชียงใหม่ ระยะเร่งด่วน ณ พื้นที่สาธารณประโยชน์ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ สำหรับโครงการขุดลอกแม่น้ำปิงจัดทำขึ้นเพื่อตอบสนองต่อสถานการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้นซ้ำซากในจังหวัดเชียงใหม่และพื้นที่ใกล้เคียง โดยเฉพาะในเขตเมือง ซึ่งสร้างผลกระทบต่อประชาชนเป็นวงกว้าง รัฐบาลจึงร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องผลักดันโครงการนี้อย่างเร่งด่วน เพื่อแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน

@@@…….การขุดลอกลำน้ำช่วยเพิ่มความสามารถในการระบายน้ำ ทำให้อัตราการไหลของน้ำเพิ่มขึ้น ลดความเสี่ยงของน้ำท่วมฉับพลัน พร้อมทั้งขจัดตะกอนดินและสิ่งกีดขวาง เพิ่มความลึก และความกว้างของแม่น้ำปิง เพื่อให้รองรับน้ำหลากในฤดูฝนได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังเป็นการบรรเทาความเดือดร้อน ลดความเสียหายต่อชีวิต ทรัพย์สิน ระบบเศรษฐกิจของจังหวัด ตลอดจนเพิ่มศักยภาพการกักเก็บน้ำในฤดูแล้ง เพื่อใช้ประโยชน์ด้านเกษตรกรรมและอุปโภคบริโภค ถือเป็นก้าวสำคัญในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมของจังหวัดเชียงใหม่ในระยะยาว

@@@…….ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ได้ทำการส่งมอบโครงการ พร้อมมอบรถขุดตักดินแก่ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ และร่วมปล่อยพันธุ์ปลาเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้แก่ลำน้ำปิง อีกทั้งกล่าวขอบคุณหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา จังหวัดเชียงใหม่ กรมเจ้าท่า กรมชลประทาน หน่วยปฏิบัติการทุกหน่วย ฝ่ายปกครองท้องถิ่น และประชาชนทุกภาคส่วน ที่ร่วมแรงร่วมใจ สนับสนุน และอดทนตลอดการดำเนินโครงการ สะท้อนถึงความร่วมมือที่แข็งแกร่ง เพื่อคืนความมั่นคงทางน้ำให้แก่พี่น้องชาวเชียงใหม่อย่างยั่งยืน
…………..
คอลัมน์ : “Military Key”
โดย.. “รหัสมอร์ส”



















