หน้าแรกCOLUMNISTSชง“คดีพิเศษ”สแกนม่านตาแลกคริปโต “รมว.ดีอี”บี้ปรับ5ล้าน/ราย-เล็งขยายผล

ชง“คดีพิเศษ”สแกนม่านตาแลกคริปโต “รมว.ดีอี”บี้ปรับ5ล้าน/ราย-เล็งขยายผล

- Advertisement -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

“ไชยชนก ชิดชอบ” รมว.กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กล่าวถึงกรณี เอกชน “สแกนม่านตาประชาชน” แลกกับ “เงินบิตคอยน์” รวมกว่า 1.2 ล้านราย ก่อนถูกสั่งระงับไป มีบทลงโทษปรับสูงสุดคือ 5 ล้านบาท ต่อราย

“รัฐมนตรี ดีอี” ระบุด้วยว่า เรื่องนี้เกิดขึ้นก่อนที่ตนจะเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ ตั้งแต่เดือน ก.พ.68 ที่เริ่มมีข่าวเกิดขึ้น โดยมี 2 ส่วนที่เป็นปัญหา ส่วนแรก คือเรื่องของการเอาข้อมูลม่านตาไป โดยที่ไม่ได้บอกพี่น้องประชาชน หรือเป็นการเก็บข้อมูลส่วนบุคคล โดยไม่แจ้งก่อน

ส่วนที่สอง คือประเด็นเรื่องของการมีค่าตอบแทน หรือมีกระบวนการอื่น ๆ เข้ามาเกี่ยวข้องในการเก็บข้อมูล โดยมีการรวบรวมพี่น้องประชาชนต่างจังหวัดเข้ามาร่วมโครงการจำนวนมาก ถึง 1.2 ล้านราย

สำหรับโครงการนี้ เริ่มต้นจาก การเซ็นเอ็มโอยู (MOU) ระหว่าง กระทรวงดีอี กับ ไพรม์ ออปพอทูนิตี้ ฟันด์ วีซีซี (Prime Opportunity Fund VCC) เพื่อจัดตั้ง โครงการนำร่องพัฒนาศูนย์ธุรกิจและการเงินดิจิทัลนานาชาติ

พอ “ไชยชนก” มาตรวจสอบ ทราบเรื่องเอ็มโอยูแล้ว ถึงกับ “ตกใจ” เพราะ กระทรวงดีอีไปลงนามกับกลุ่มบริษัท ที่ไม่ได้ทำการยกระดับมาตรฐานการยืนยันตัวตน (KYC) ที่ดี…เมื่อดูลึกลงไป ยังพบ “ชื่อผู้ถือหุ้น” โยงกับ “คดีที่ถูกขุดคุ้ยในไทย” และสัญญาดังกล่าวเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว จนมีพิรุธหลายอย่าง

เริ่มจาก…เลขาฯของอดีตรัฐมนตรี ยิงเรื่องนี้ลงไป เมื่อวันที่ 25 มี.ค.67 ที่ฝ่ายกฎหมายต่างประเทศของกระทรวง และมีการส่งต่อไปยังกระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานกฤษฎีกา และสำนักงานอัยการสูงสุด ในวันที่ 26 มี.ค.67

โดยมีการตอบกลับจากกระทรวงการต่างประเทศ และกฤษฎีกาว่า โอเค และดูเหมือนเป็นการเซ็นระหว่างรัฐกับเอกชน ไม่มีความผูกมัดทางกฎหมาย ไม่จำเป็นต้องเข้า ครม. จากนั้นวันที่ 27 มี.ค.67 มีการตอบกลับจากอัยการสูงสุดว่า ให้ไปดูมติ ครม.ที่เกี่ยวกับความมือกับต่างประเทศที่เกี่ยวข้อง

โดยเน้นย้ำให้ระมัดระวังในเรื่องของทรัพย์สินดิจิทัลที่ทำร่วมกัน เพราะในเอ็มโอยูระบุว่า ให้เป็นของทางผู้พัฒนาระบบร้อยเปอร์เซ็นต์ ทางรัฐไม่ได้เป็นเจ้าของแต่อย่างใด ซึ่งอัยการสูงสุดแนะนำว่าควรเป็นเจ้าของร่วมกัน แต่ก็มีการลงนามเสร็จสมบูรณ์ในวันที่ 27 มี.ค.67

เท่ากับว่า กระบวนการทั้งหมด ตั้งแต่ลงไปทางเลขาฯอดีตรัฐมนตรี ผ่านทุกกระบวนการแล้วย้อนกลับมา ผ่านการเซ็นโดยปลัดกระทรวง และรัฐมนตรีที่รับทราบ ใช้เวลาเพียง 3 วัน ในการเซ็นเอ็มโอยู

และเมื่อเข้าไปดูเนื้อหาภายใน ยิ่งพบสิ่งที่น่ากังวล อาทิ การให้บริษัท ทีไอดีซี เวิลด์เวิร์ส จำกัด ที่มีความเชื่อมโยงกับบริษัท Prime Opportunity Fund VCC เข้ามานำร่องภายใต้รูปแบบแซนด์บ็อกซ์ มีกระทรวงดีอีกำกับในเชิงกฎระเบียบกฎหมาย เหมือนเป็นการละเว้นด้วยกฎหมายพิเศษ แต่พอไปตรวจสอบ ก็ไม่ได้มีกฎหมายกำกับดูแลจากกระทรวง

พูดง่าย ๆ คือทำเสร็จวันนั้น ตั้งคณะทำงานช่วงเดือน เม.ย.67 แล้วก็ไม่ได้มีการประชุมอะไรเลย นอกจากนั้น เอ็มโอยูนี้ ยังมีรายละเอียดในเรื่องที่ปัจจุบันยังไม่ถูกกฎหมายในประเทศไทย เช่น พนันออนไลน์ เป็นต้น

“ไชยชนก” กล่าวว่า จากนั้นช่วงเดือน ต.ค.67 มีการขอความอนุเคราะห์ ให้เอาเว็บไซต์หรือโลโก้ของกระทรวงไปแปะ ซึ่งในช่วงปี 67 มีการสื่อสารกันระหว่างกระทรวงและ TIDC และมีการเอาโลโก้ไปแปะไว้บนเว็บไซต์ โดยมีโลโก้ TIDC ดีอี และเอ็นที

หลังจากนั้นเมื่อเดือน ม.ค.68 บริษัทภายใต้เครือข่าย TIDC คือ ทีไอดีซี เวิลด์เวิร์ส เข้ามาในดีอี เพื่อประชุมกับทางสำนักงานพัฒนาธุรกิจกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) ที่ดูแลในเรื่องแพล็ตฟอร์มต่าง ๆ มาขออนุญาตในการทำกระบวนการเก็บข้อมูลส่วนบุคคลภายในประเทศ

ปรากฎว่า ทาง “เอ็ดด้า” ไม่ได้อนุญาต และขออนุญาตจากทางสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPC) หน่วยงานที่ดูแลทางด้านข้อมูลส่วนบุคคล ที่อยู่ภายใต้กระทรวงดีอี ก็ไม่ได้อนุญาตเช่นกัน

แต่ปรากฎว่า ทางบริษัทฯดำเนินการไป ทั้งที่ไม่ได้รับอนุญาต จากทั้ง “เอ็ดด้า” และ “พีดีพีซี” และเริ่มมี “การสแกนม่านตา” ในเดือน ก.พ.68 มีประชาชนคนไทย ไป “สแกนม่านตา” แล้วกว่า 1.2 ล้านคน

กรณีดังกล่าว ทาง “กระทรวงดีอี” อยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูลเพื่อให้เป็น “คดีพิเศษ” ส่วนการเก็บข้อมูลที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมายพีดีพีเอ อยู่ในขั้นตอนการให้บอร์ดพิจารณา ว่าอัตราการปรับต่อไอดี จะปรับเท่าไร โดยมีเกณฑ์อยู่ที่ 5 แสน-5 ล้านบาท ขึ้นกับความละเอียดของข้อมูลที่ถูกขโมยไป

สำหรับข้อมูลชีวภาพ เป็นข้อมูลระดับสูงสุดอยู่แล้ว เท่ากับว่าต่อ 1 ไอดี หรือ 1 ยูสเซอร์ที่ถูกขโมยไป เราสามารถปรับได้เลยสูงสุด 5 ล้านบาท ต่อ 1 ไอดี ขณะนี้อยู่ระหว่างอยู่ระหว่างการพิจารณาปรับ และหากใครไปสแกนม่านตามาแล้ว ก็อยากให้แจ้งความไว้ด้วย เพื่อจะได้ดำเนินการทางกฎหมายอย่างเต็มที่

”ไชยชนก” บอกด้วยว่า กรณี สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ยึดทรัพย์เครือข่ายสแกมเมอร์ 1 หมื่นกว่าล้านบาท ในช่วงที่ผ่านมาว่า น่าจะเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เข้ามาปฏิบัติหน้าที่ที่ทำให้ตนยิ้มออก เพราะเราทำมากันอย่างเต็มที่ เป็นหลายหน่วยงานที่ร่วมมือกัน

จุดนี้เป็นแค่เพียงหนึ่งใน “โดมิโนชิ้นสำคัญ” ในโครงสร้างขบวนการเหล่านี้ที่มันล้มลง พอโดมิโนนี้ล้มลง ก็จะต่อยอดไปเรื่องอื่นได้ทันที

มีการพิสูจน์ทราบแล้วประกาศว่า บุคคลและเครือข่ายเหล่านี้ผิดจริงในประเทศไทย ซึ่งจะเป็นการปลดล็อกในโครงสร้างอื่น ๆ ที่มีการสันนิษฐาน มีการเตรียมงาน เตรียมตัวในการดำเนินการตรวจสอบ สอบสวนให้ไหลลื่นได้

…………

คอลัมน์ : The Key Reported by Fah kham-ram

- Advertisement -spot_imgspot_img
RELATED ARTICLES

HIGHLIGHT

- Advertisment -spot_img
spot_img

Most Popular

- Advertisement -spot_img
spot_img
- Advertisement -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img