‘นิกร’ เชื่อ ลงล็อก 29 มี.ค.69 เลือกตั้งพร้อมทำประชามติ ประหยัดงบ 5,000 ล้าน บอกพิจารณาวาระสามล่อแหลมเหตุใช้เสียง 1 ใน 3 มอง สส.-สว. ต้องคุยทำความเข้าใจ
เมื่อวันที่ 10 ธ.ค. ที่รัฐสภา นายนิกร จำนง ผู้อำนวยการพรรคชาติไทยพัฒนา ในฐานะเลขานุการกรรมการร่วมกันเพื่อพิจารณาประชามติ กล่าวว่า วันนี้เป็นวันรัฐธรรมนูญ และถือเป็นวันที่ดีในการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญวาระสอง และมองว่าการเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญจะเรียกว่าไม่จำเป็นเลยก็ได้ เพราะเปิดสมัยสามัญก็ทัน เป็นไปตามกรอบ 60 วันไม่เกิน 150 วัน แต่มองว่า การเปิดวิสามัญครั้งนี้เป็นไปตามข้อตกลงของ MOA ระหว่างพรรคภูมิใจไทยกับพรรคประชาชนที่กำหนดให้แล้วเสร็จก่อนสิ้นปี
นายนิกร กล่าวว่า ส่วนเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาตนได้ฟังนายภราดร ปริศนานันกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี จะยื่นญัตติโดยรัฐสภาเพื่อตั้งคำถามที่หนึ่งเพื่อทำประชามติ ซึ่งเรื่องนี้ตนพูดมากว่า 2 เดือนแล้วว่าสามารถทำได้ แต่ตอนหลังมีการให้ความเห็นกันว่า ครม.สามารถตั้งคำถามได้ แต่เมื่อมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญออกมา เขียนไว้ชัดว่ารัฐสภาเท่านั้น เป็นผู้เขียนตั้งคำถามที่ 1, 2 และ 3 เพราะฉะนั้นการดำเนินการโดยใช้พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ประชามติเป็นเรื่องที่ไม่สามารถทำได้ และหากทำไปแล้วจะแย้งกับคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งการที่รัฐบาลเสนอเป็นการดำเนินการตาม MOA
นายนิกร กล่าวอีกว่า หากมีการเสนอญัตติการพิจารณาอาจเกิดขึ้นในวันที่ 12 ธ.ค.นี้ ก็ได้ แต่ต้องใช้อำนาจของประธานรัฐสภา หรือระหว่างการเปิดสมัยประชุมสามัญ สามารถเรียกประชุมรัฐสภาอีกครั้งก็ได้เพื่อจะเคาะเรื่องนี้ หรืออาจรอพร้อมคำถามที่สองหลังจากวาระที่สองผ่านไป 15 วันก็ได้ แต่พอสภามีญัตติในเรื่องนี้คำถามจากสภาจะถูกพุ่งตรงไป ครม. เพื่อออกพระราชกำหนดทำประชามติไม่น้อยกว่า 60 วัน แต่ไม่เกิน 150 วัน ซึ่งอาจลงล็อก 29 มี.ค.69 และเมื่อยุบสภาตาม MOA ซึ่งสามารถลงในวันเดียวกันได้ ซึ่งตนหวังว่าจะเป็นอย่างนั้น ไม่ว่าคำถามที่ 2 จะผ่านการพิจารณาหรือไม่ก็หวังว่าอย่างน้อยจะได้คำถามที่ 1 พร้อมย้ำว่า ตรงนี้สำคัญเรื่องค่าใช้จ่าย เพราะการเลือกตั้งใช้ประมาณ 6,000 ล้านบาท แต่หากเป็นเฉพาะการทำประชามติอยู่ที่ประมาณ 4,000 ล้านบาท หากการทำประชามติแยกกับการเลือกตั้งงบประมาณจะอยู่ที่ 10,000 ล้านบาท แต่หากทำพร้อมกันจะสามารถลดรายจ่ายได้ 4,000-5,000 ล้านบาท ตนจึงหวังว่า ทั้งรัฐธรรมนูญและงบประมาณถือเป็นเรื่องที่สำคัญน่าจะดำเนินการตามนี้
โดยการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญวาระที่ 2 จากที่ตนดูมีปัญหาบ้างบางมาตรา โดยเฉพาะประเด็นที่ขัดแย้งกันกับวุฒิสภา ซึ่งการพิจารณาจะยึดตามเสียงข้างมาก วุฒิสภาไม่อาจทานเสียงของ สส.ได้ หากสู้กันวุฒิสภาไม่ชนะ แต่หากไปที่การพิจารณาวาระที่สาม เสียงจะต้องเป็น 1 ใน 3 จึงตั้งคำถามว่าจะผ่านหรือไม่ ซึ่งตรงนี้ยังล่อแหลมอยู่มาก ตนคิดว่า น่าจะได้คุยกันเพื่อทำความเข้าใจทั้งสองฝ่าย
เมื่อถามว่า หากต้องการให้วันเลือกตั้งพร้อมกับการทำประชามติ การตั้งคำถามจะต้องแล้วเสร็จภายใน ธ.ค.นี้ใช่หรือไม่ นายนิกร กล่าวว่า กฎหมายใหม่กำหนดไว้ แม้จะไม่ชัด แต่อ้างตามคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ และสภาส่งไปยังครม. และครม.ต้องออกข้อบังคับว่าให้มีประชามติเกิดขึ้น ไม่น้อยกว่า 60 วัน และไม่เกิน 150 วัน และหากปลายเดือนนี้มีการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญวาระสาม จะลงล็อกได้เลือกตั้ง ได้คำถามประชามติที่ 1 และ 2 พร้อมกัน
นายนิกร ยังกล่าวอีกว่า ปัจจุบันมีเรื่องการสู้รบชายแดน คณะกรรมาธิการ(กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาข้อดีข้อเสียการยกเลิก MOU 2543 และ MOU 2544 เพื่อแก้ไขปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ได้ตั้งให้ตนเป็นประธานคณะทำงานเขียนรายงาน ซึ่งปัจจุบันประชุมสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ซึ่งการเขียนรายงานเกือบจะเสร็จแล้ว และตั้งใจว่าจะให้เสร็จในวันที่ 17 ธ.ค. ซึ่งมีข้อสรุปทั้งเห็นด้วยให้ยกเลิกและไม่เห็นด้วย มีน้ำหนักใกล้เคียงกันจึงใช้วิธีให้กรรมาธิการให้ความเห็น บันทึกเช่นเดียวกับ พ.ร.บ.นิรโทษกรรมว่าใครเห็นด้วยหรือไม่ และเข้าสู่สภาทั้งหมดเพื่อจะสามารถพิจารณาได้ทัน 19 ธ.ค.
นายนิกร กล่าวว่า การศึกษา MOU 43-44 ไม่ได้ศึกษาว่าจะยกเลิกหรือไม่ แต่เกิดขึ้นภายหลัง คณะกรรมาธิการจึงมีความเห็น 2 ข้างว่าจะคงไว้หรือยกเลิก แต่ปัจจุบันมีการสู้รบแนวชายแดนจึงอาจมีผลต่อการศึกษาของกรรมาธิการ ซึ่งท้ายที่สุดจะส่งข้อสังเกตไปยังรัฐบาล เชื่อว่า ความเห็นของกรรมาธิการจะช่วยประคองประเทศไปได้อีกมิติหนึ่ง แต่ท้ายที่สุดต้องขึ้นอยู่กับรัฐบาล



















