หน้าแรกCOLUMNISTSถึงเวลา....“ปตท.สผ.”พัฒนาโดรน-AI เสริม“ความมั่นคง”ขุดเจาะน้ำมัน-ก๊าซ

ถึงเวลา….“ปตท.สผ.”พัฒนาโดรน-AI เสริม“ความมั่นคง”ขุดเจาะน้ำมัน-ก๊าซ

- Advertisement -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

จากเหตุปะทะกันระหว่างไทยและกัมพูชา นำมาซึ่งผลกระทบหลายเรื่อง ไม่เฉพาะความมั่นคง และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แต่ยังรวมถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจ และความวิตกกังวลในการดำเนินธุรกิจในระยะยาว

ส่วนของ ภาคพลังงาน ดูจะ “น่ากังวลที่สุด” ในตอนนี้ เพราะ พลังงาน ก็คือความมั่นคงของชาติ หลังจากตรวจพบ ทั้ง “เรือ” ไม่ทราบสัญชาติ และ “โดรน” บินในรัศมีแท่นขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ในทะเลอ่าวไทยทั่วบริเวณ อาทิ แท่นผลิตเอราวัณ แท่นหลุมผลิตในพื้นที่เบญจมาศ แท่นไพลิน แท่นไพลินเหนือ แท่นหลุมผลิตในพื้นที่ปลาทอง และปัจจุบันยังคงมีโดรนมาป่วนเป็นระยะ ๆ

ซึ่งตอนนี้ กระทรวงพลังงานได้ประสานการทำงานกับผู้ประกอบการ และกองทัพเรือแล้ว

วีรพัฒน์ เกียรติเฟื่องฟู

“วีรพัฒน์ เกียรติเฟื่องฟู” รองปลัดกระทรวงพลังงาน บอกว่า “กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ซึ่งกำกับดูแลการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมของประเทศ ทั้งพื้นที่บนบกและในทะเลได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยแจ้งให้ผู้รับสัมปทานและผู้รับสัญญา เพิ่มมาตรการเฝ้าระวังความปลอดภัย ทั้งในด้านบุคคล สิ่งของ หรือยานพาหนะต้องสงสัย รวมไปถึงโดรนที่ไม่ระบุที่มา ที่อาจรุกล้ำเข้ามาในบริเวณแหล่งผลิต”

โดยวางแนวทาง ประกอบด้วย

1.เพิ่มการเฝ้าระวังเรือและโดรนที่อาจเข้ามาในเขตพื้นที่ผลิตปิโตรเลียมรัศมี 500 เมตร

2.กรณีตรวจพบเรือใด ๆ เข้ามาในเขตพื้นที่ผลิตปิโตรเลียมให้ขับไล่ออกจากพื้นที่ผลิตปิโตรเลียมโดยทันที หากไม่สามารถดำเนินการได้ ให้แจ้งกองทัพเรือและกรมเชื้อเพลิงโดยทันที

3.หากพบโดรนเข้ามาในเขตพื้นที่ผลิตปิโตรเลียม ให้แจ้งกองทัพเรือ และกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติโดยทันทีเช่นกัน เพื่อความปลอดภัยของผู้ปฏิบัติงานนอกชายฝั่ง

4.ขอความร่วมมือ งดส่งผู้ปฏิบัติงานนอกชายฝั่งไปยังแท่นหลุมผลิตในช่วงเวลากลางคืน

5.ให้พิจารณาจัดทำแผนระงับเหตุวินาศกรรมทางทะเล เพื่อความปลอดภัยสูงสุดต่อผู้ปฏิบัติงานนอกชายฝั่ง

ทั้งนี้ได้มีการตั้ง กลุ่มประสานงานและเฝ้าระวังเหตุทางทะเล ร่วมกับ ผู้รับสัมปทานและผู้รับสัญญาในทะเล เพื่อรายงานสถานการณ์รายวัน พร้อมกับขอความร่วมมือจาก บริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) เฝ้าระวังและแจ้งเหตุให้กองทัพเรือ กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมอุทกศาสตร์ กองทัพเรือและกรมเจ้าท่า เพื่อขอความร่วมมือในการประกาศให้เรือทุกลำที่แล่นอยู่ในอ่าวไทยเปิดสัญญาณเรดาร์ (Radar) และระบบ AIS (Automatic Identification System) เพื่อแสดงตัวตนของเรือต่อเรือลำอื่น ๆ และเพื่อความปลอดภัยในการเดินเรือและดำเนินงานในพื้นที่ทะเลอ่าวไทยทั้งหมด นอกจากแท่นขุดเจาะในทะเลแล้ว การเฝ้าระวังยังรวมไปถึง โรงไฟฟ้า และโครงสร้างพื้นฐานพลังงานทั้งหมด ทั้งโรงกลั่นน้ำมัน โรงแยกก๊าซธรรมชาติ โรงงานปิโตรเคมี

โดยก่อนหน้านี้ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) (ปตท.สผ.) หนึ่งในผู้รับสัปทานในอ่าวไทยได้ออกแถลงการณ์ในเรื่องนี้แล้วว่า “บริษัทฯได้รายงานกองทัพเรือให้ทราบถึงเหตุการณ์ดังกล่าว ซึ่งบริษัทได้รับการสนับสนุนจากกองทัพเรือเป็นอย่างดี โดยได้วางแผนและกำหนดมาตรการป้องกันร่วมกัน เพื่อความปลอดภัยของบุคลากรและกระบวนการผลิต เช่น การตรวจตราและเฝ้าระวังโดยรอบบริเวณแท่นผลิต เพื่อให้การผลิตปิโตรเลียมสามารถดำเนินไปอย่างต่อเนื่องและปลอดภัย ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการรักษาความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศ และรองรับความต้องการใช้พลังงานในชีวิตประจำวันของคนไทย”

ตั้งแต่ 7 ธันวาคม 2568 ที่พบเห็นโดรในรัศมีแท่นขุดเจาะน้ำมันและก๊าซฯในทะเลอ่าวไทยจนถึงบัดนี้ก็ยังมีโดรนมาอยู่ประปรายในเวลากลางคืน ซึ่งการตรวจจับทำได้ยาก รวมถึงมีทั้งเรือประมง เรือนักท่องเที่ยวที่ปะปนกันอยู่ก็ยากที่จะบอกได้ว่าเรือลำไหนจะเป็นฐานยิงโดรนบ้าง

เอาเข้าจริงผู้ประกอบการเองไม่มั่นใจว่าจะมาแค่ “ขู่” หรือไม่ ตอนนี้ “เฝ้าระวัง” กันอย่างใกล้ชิด ซึ่งบนแท่นขุดเจาะเอง มีมาตรการที่รัดกุมในเรื่องความปลอดภัยป้องกันเหตุภายใน แต่มาตรการรักษาความมั่นคงจากเหตุภายนอกอาจจะยังไม่เข้มงวด ต้องอาศัยกองทัพเรือช่วยดูแล…

แต่คาดว่าเหตุการณ์ครั้งนี้จะทำให้ผู้ได้รับสัมปทานและผู้รับสัญญาทุกรายต้องวางมาตรการด้านความปลอดภัยกันใหม่ อย่างน้อยอาจต้องมี “แอนตี้ โดรน” เป็นของตนเอง ในส่วน “ปตท.สผ.” ซึ่งมี บริษัท เอไอ แอนด์ โรโบติกส์ เวนเจอร์ส จำกัด (ARV) บริษัทลูกที่เชี่ยวชาญเรื่องการพัฒนาหุ่นยนต์ และปัญญาประดิษฐ์ขั้นสูง ต้องออกโรงแล้ว ไม่ใช่ทำแค่โดรน หุ่นยนต์ใต้น้ำ และแพลตฟอร์ม AI ที่ตอบโจทย์อุตสาหกรรมอย่างงานบำรุงรักษาแท่นขุดเจาะเท่านั้น แต่ต้องหันมามองถึงโจทย์ใหม่เพื่อใช้โดรน และ AI ทำภารกิจรักษาความมั่นคงในกิจการขุดเจาะก๊าซฯ และน้ำมันด้วย

เมื่อโลกหมุนมาที่นี่ “ประเทศไทย” เรากลายเป็นศูนย์กลางของแรงปะทะในหลายทาง ไม่อาจมองเฉพาะข้อพิพาทเขตแดน ที่กัมพูชาคอยแทะเลมจากไทยเท่านั้น ซึ่งแค่นี้เรื่องเดียวก็ยังคาดเดาไม่ได้ว่า จะจบได้จริงแบบเบ็ดเสร็จหรือไม่ และเมื่อไหร่ เชื่อว่าการรบจะปะทุใหม่ได้เสมอ

อีกปัจจัยเผือกร้อน คือ ไทยเป็นแรงปะทะของ “2 ขั้วมหาอำนาจ” ไปเสียแล้ว และยังเป็นชาติเล็ก ๆ ที่ท้าทายอำนาจของเครือข่ายสแกมเมอร์ระดับโลก บ่อนการพนัน การค้ามนุษย์ที่ผูกโยงแนบสนิทในกัมพูชา จากการที่กองทัพไทยทำลายฐานที่มั่นทางการทหารของกัมพูชา ซึ่งอยู่ที่เดียวกับฐานที่มั่นของกลุ่มทุนใหญ่นี้ เราถูกผลักให้เป็น “ซูปเปอร์แมน” ของโลกเพื่อจัดการกับแก๊งอาชญากร แต่นานานชาติได้แต่ส่งเสียงเชียร์ข้างเวทีเบา ๆ อีกหลายเจ้าสงวนท่าที หรือบางเจ้าหรือใครก็ตามที่มีเอี่ยว ก็อาจคอยหาเวลาเอามีดเสียบหลัง

ดังนั้นหลังจากนี้ ไม่อาจรู้ได้เลยว่า ภัยต่อความมั่นคงของไทยจะมาจากไหน ตอนไหนและเมื่อไหร่ ดังนั้นงานวิเคราะห์ การข่าวเชิงรุก และแผนเผชิญเหตุ มีความสำคัญอย่างยิ่ง ไม่เฉพาะหน่วยงานด้านความมั่นคงที่ต้องทำเท่านั้น กิจการพลังงานต้องทำอย่างเข้มข้นด้วย…ก็โลกไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว

…………………………………

คอลัมน์ : เข็มทิศพลังงาน

โดย…“ศรัญญา ทองทับ”

สนับสนุนโดย…บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จํากัด (มหาชน) 

- Advertisement -spot_imgspot_img
RELATED ARTICLES

HIGHLIGHT

- Advertisment -spot_img
spot_img

Most Popular

- Advertisement -spot_img
spot_img
- Advertisement -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img