“นันทพงษ์” เผยส่งออก พ.ย. ขยายตัว 7.1% เติบโตต่อเนื่อง 17 เดือน แรงหนุนส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ การเติบโตของ AI จับตาความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ คาดทั้งปีโต 11.6-12.1%
นายนันทพงษ์ จิระเลิศพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยตัวเลขการส่งออกของไทยในเดือนพฤศจิกายน 2568 พบว่ามีมูลค่า 27,445.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (890,204 ล้านบาท) ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 17 ที่ 7.1% หากหักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัย ขยายตัวที่ 11.8% ขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 30,172.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 17.6% ส่งผลให้ดุลการค้าของไทย ขาดดุล 2,726.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ทั้งนี้ เป็นผลมาจากการส่งออกยังคงได้รับแรงสนับสนุนหลักจากการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ตามวัฏจักรขาขึ้นของคอมพิวเตอร์และการเติบโตของเทคโนโลยีสมัยใหม่ AI ส่งผลให้ภาพรวมของสินค้าอุตสาหกรรมขยายตัวในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ยังคงสร้างความไม่แน่นอนต่อการค้าในระยะข้างหน้า ด้วยสัญญาณการชะลอตัวของตลาดสำคัญ เช่น จีน ญี่ปุ่น CLMV ขณะที่การส่งออกสินค้าเกษตรของไทยยังคงอยู่ในภาวะหดตัวจากภัยพิบัติทางธรรมชาติและการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดโลก
ทั้งนี้ การส่งออก 11 เดือนแรกของปี 2568 มีมูลค่า 310,706.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวที่ 12.6% หากหักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัย ขยายตัวที่ 13.7% ส่วนการนำเข้า มีมูลค่า 315,662.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 12.4% ส่งผลให้ดุลการค้า ขาดดุล 4,956.0 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร มูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร หดตัว 9.5% (YoY) หดตัวต่อเนื่อง 4 เดือน โดยสินค้าเกษตร หดตัว 15.7% หดตัวต่อเนื่อง 4 เดือน
ในขณะที่สินค้าอุตสาหกรรมเกษตร หดตัว 2.3% กลับมาหดตัวในรอบ 3 เดือน โดยมีสินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ ผลไม้กระป๋องและแปรรูป ขยายตัว 6.6% ขยายตัวต่อเนื่อง 26 เดือน (ขยายตัวในตลาดเนเธอร์แลนด์ ออสเตรเลีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ แคนาดา และอิหร่าน) ไขมันและน้ำมันจากพืชและสัตว์ ขยายตัว 171.4% ขยายตัวต่อเนื่อง 4 เดือน (ขยายตัวในตลาดอินเดีย มาเลเซีย จีน เกาหลีใต้ และฟิลิปปินส์)
กุ้งสดแช่เย็นแช่แข็ง ขยายตัว 20.3% ขยายตัวต่อเนื่อง 7 เดือน (ขยายตัวในตลาดจีน สหรัฐ เกาหลีใต้ เมียนมา และแคนาดา) และเนื้อและส่วนต่าง ๆ ของสัตว์ที่บริโภคได้ ขยายตัว 55.7% ขยายตัวต่อเนื่อง 18 เดือน (ขยายตัวในตลาดเนเธอร์แลนด์ เยอรมนี มาซิโดเนีย แอลเบเนีย และเบลเยียม)
ขณะที่สินค้าสำคัญที่หดตัว อาทิ ข้าว หดตัว 18.7% หดตัวต่อเนื่อง 13 เดือน (หดตัวในตลาดสหรัฐ แอฟริกาใต้ จีน ฮ่องกง และปาปัวนิวกินี แต่ขยายตัวในตลาดอิรัก โมซัมบิก แองโกลา มาเลเซีย และเบนิน) ยางพารา หดตัว 12% หดตัวต่อเนื่อง 7 เดือน (หดตัวในตลาดมาเลเซีย ญี่ปุ่น สหรัฐ เกาหลีใต้ และอินเดีย แต่ขยายตัวในตลาดจีน เวียดนาม สเปน เยอรมนี และปากีสถาน)
อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป หดตัว 5.9% หดตัวต่อเนื่อง 6 เดือน (หดตัวในตลาดญี่ปุ่น แคนาดา อียิปต์ ซาอุดีอาระเบีย และลิเบีย แต่ขยายตัวในตลาดสหรัฐ ออสเตรเลีย อิสราเอล ไต้หวัน และสวิตเซอร์แลนด์) ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็ง และแห้ง หดตัว 43.1% หดตัวต่อเนื่อง 4 เดือน (หดตัวในตลาดจีน สหรัฐ เวียดนาม มาเลเซีย และฮ่องกง แต่ขยายตัวในตลาดอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สิงคโปร์ และญี่ปุ่น)
ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง หดตัว 28.8% หดตัวต่อเนื่อง 5 เดือน (หดตัวในตลาดจีน ไต้หวัน เกาหลีใต้ สหรัฐ และมาเลเซีย แต่ขยายตัวในตลาดญี่ปุ่น อินโดนีเซีย นิวซีแลนด์ เบลเยียม และเม็กซิโก) เครื่องดื่ม หดตัว 19.9% หดตัวต่อเนื่อง 4 เดือน (หดตัวในตลาดเวียดนาม เมียนมา มาเลเซีย จีน และสิงคโปร์ แต่ขยายตัวในตลาดลาว ฟิลิปปินส์ สหราชอาณาจักร สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และอิสราเอล)
และน้ำตาลทราย หดตัว 9.5% กลับมาหดตัวในรอบ 3 เดือน (หดตัวในตลาดกัมพูชา ลาว ไต้หวัน อินโดนีเซีย และเมียนมา แต่ขยายตัวในตลาดฟิลิปปินส์ มาเลเซีย จีน ปากีสถาน และเกาหลีใต้) ทั้งนี้ 11 เดือนแรกของปี 2568 การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร หดตัว 0.7%
การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม มูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม ขยายตัวร้อยละ 12.2 (YoY) ขยายตัวต่อเนื่อง 20 เดือน โดยมีสินค้าสำคัญที่ขยายตัว อาทิ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ 59.9 ขยายตัวต่อเนื่อง 20 เดือน (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ จีน เนเธอร์แลนด์ สิงคโปร์ และมาเลเซีย) อัญมณีและเครื่องประดับ (ไม่รวมทองคำ) ขยายตัวร้อยละ 66.7 ขยายตัวต่อเนื่อง 13 เดือน (ขยายตัวในตลาดอินเดีย ฮ่องกง สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สหราชอาณาจักร และเยอรมนี)
เครื่องโทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ขยายตัว 68% ขยายตัวต่อเนื่อง 6 เดือน (ขยายตัวในตลาดสหรัฐ สิงคโปร์ เม็กซิโก จีน และไอร์แลนด์) แผงวงจรไฟฟ้า ขยายตัว 17.1% ขยายตัวต่อเนื่อง 11 เดือน (ขยายตัวในตลาดฮ่องกง มาเลเซีย จีน สิงคโปร์ และญี่ปุ่น)
หม้อแปลงไฟฟ้าและส่วนประกอบ ขยายตัว 17.7% ขยายตัวต่อเนื่อง 14 เดือน (ขยายตัวในตลาดสหรัฐ ไต้หวัน สาธารณรัฐเช็ก ไอร์แลนด์ และเวียดนาม) แผงสวิตซ์และแผงควบคุมกระแสไฟฟ้า ขยายตัว 35.1% ขยายตัวต่อเนื่อง 23 เดือน (ขยายตัวในตลาดสหรัฐ สิงคโปร์ ญี่ปุ่น มาเลเซีย และเยอรมนี)
ขณะที่สินค้าสำคัญที่หดตัว อาทิ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ หดตัว 8% กลับมาหดตัวในรอบ 3 เดือน (หดตัวในตลาดฟิลิปปินส์ สหรัฐ เวียดนาม ญี่ปุ่น และซาอุดีอาระเบีย แต่ขยายตัวในตลาดออสเตรเลีย มาเลเซีย อาร์เจนตินา จีน และเนเธอร์แลนด์)
ผลิตภัณฑ์ยาง หดตัว 12.1% กลับมาหดตัวในรอบ 3 เดือน (หดตัวในตลาดสหรัฐ จีน เวียดนาม ออสเตรเลีย และมาเลเซีย แต่ขยายตัวในตลาดญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย เนเธอร์แลนด์ และเยอรมนี) เคมีภัณฑ์ หดตัว 13.6% หดตัวต่อเนื่อง 7 เดือน (หดตัวในตลาดจีน อินเดีย ญี่ปุ่น สหรัฐ และอินโดนีเซีย แต่ขยายตัวในตลาดเวียดนาม เบลเยียม ลาว เกาหลีใต้ และจิบูตี)
เม็ดพลาสติก หดตัว 11.4% หดตัวต่อเนื่อง 5 เดือน (หดตัวในตลาด จีน อินเดีย อินโดนีเซีย เวียดนาม และญี่ปุ่น แต่ขยายตัวในตลาดสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สิงคโปร์ บราซิล โมซัมบิก และสเปน) ทั้งนี้ 11 เดือนแรกของปี 2568 การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม ขยายตัว 17.1%
ส่วนแนวโน้มการส่งออกในช่วงที่เหลือของปี 2568 คาดการณ์ว่าการส่งออกของไทยในเดือน ธ.ค.นี้ จะมีมูลค่า 25,000-26,500 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งหากทำได้คาดว่าส่งออกไทยทั้งปี อยู่ที่ 11.6-12.1% ในระดับสองหลัก โดยได้รับแรงหนุนจากการเติบโตของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีดิจิทัลที่มีความต้องการในระดับสูง และการดำเนินมาตรการทางการค้าของสหรัฐกับจีน และประเทศต่าง ๆ ผ่อนคลายลงกว่าช่วงต้นปี
สำหรับในปี 2569 คาดว่าจะเติบโตชะลอลง สำหรับการประเมินนั้น กระทรวงพาณิชย์ ประเมินเบื้องต้นว่า มูลค่าการส่งออกจะอยู่ในช่วง -3.3 ถึง 1.1% จากภาวะเศรษฐกิจโลกและคู่ค้าสำคัญที่ชะลอตัว ผลของมาตรการภาษีสหรัฐเริ่มชัดเจนขึ้น ปัญหาด้านราคาและค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นส่งผลต่อขีดความสามารถทางการแข่งขัน ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงอยู่ และปัญหาสภาพอากาศรุนแรงจะส่งผลต่อสินค้าเกษตร
ซึ่งการทำงานของกระทรวงพาณิชย์ในปีหน้าจะมุ่งเน้นการเร่งเจรจาความตกลง Reciprocal Trade กับสหรัฐให้แล้วเสร็จ พร้อมกับเพิ่มความเข้มงวดเรื่องถิ่นกำเนิดสินค้า รวมไปถึงกวาดล้างธุรกิจนอมินี และเดินหน้าเจรจาและผลักดันการใช้ประโยชน์จาก FTA สร้างแต้มต่อทางการค้า และร่วมมือกับภาคเอกชนผลักดันเป้าหมายการส่งออกให้เติบโตท่ามกลางอุปสงค์ที่อ่อนแอและความไม่แน่นอนที่ยังมีต่อเนื่องในปีหน้า



















