“……สถานการณ์ในวันนี้ แตกต่างจากยุคสมัยของรุ่นพี่ ๆ ความขัดแย้งในระดับภูมิภาคทวีความรุนแรงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด การปะทะด้วยกำลังอาวุธกับประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป ทะเลที่เราเห็นว่าสงบนิ่งอาจกลายเป็นสมรภูมิได้เพียงชั่วข้ามคืน…..”
@@@……สวัสดีท่านผู้อ่านทุกท่าน พบกันทุกวันเสาร์กับคอลัมน์ “Military Key” ทางเว็บไซต์ https:// thekey.news ซึ่งตรงกับวันเสาร์ที่ 27 ธ.ค.68 สถานการณ์การสู้รบระหว่างไทย กับ กัมพูชา ยังคงดำเนินการต่อไป ล่าสุด ฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการร่วมมือรักษาความสงบเรียบร้อยตามชายแดนทั่วไป (GBC) ฝ่ายไทย ประชุมร่วมกับฝ่ายเลขานุการร่วม GBC ฝ่ายกัมพูชา ณ จุดผ่านแดนถาวรบ้านผักกาด อำเภอโป่งน้ำร้อน จังหวัดจันทบุรี โดยที่ประชุมได้นำผลการพิจารณาข้อเสนอซึ่งแต่ละฝ่ายได้ยื่นให้อีกฝ่ายหนึ่งพิจารณากลับมาพูดคุยบนโต๊ะเจรจาเพื่อหาข้อสรุปความตกลงร่วมกัน

@@@……พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า กองทัพภาคที่ 2 ได้รายงานความคืบหน้าภายหลังเหตุการณ์กำลังพลกองทัพภาคที่ 2 ประสบเหตุเหยียบทุ่นระเบิด ระหว่างการปฏิบัติภารกิจเสริมความมั่นคงในพื้นที่ ปราสาทตาควาย จากการตรวจสอบพื้นที่ใกล้เคียงจุดเกิดเหตุเพิ่มเติมโดยหน่วยเก็บกู้ทุ่นระเบิด พบการติดตั้งทุ่นระเบิดสังหารบุคคลชนิด PMN-2 อีกจำนวน 4 ทุ่น วางเรียงต่อเนื่องตามเส้นทางเคลื่อนที่ของกำลังพล โดยอยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุเพียงประมาณ 30 เซนติเมตร

@@@……ลักษณะการวางทุ่นดังกล่าวสะท้อนถึงการจงใจมุ่งหมายให้เกิดอันตรายต่อชีวิตของเจ้าหน้าที่และบุคคลที่สัญจรผ่านพื้นที่อย่างชัดเจน กองทัพบกขอยืนยันว่า หลักฐานเชิงประจักษ์ดังกล่าวบ่งชี้อย่างชัดเจนว่า ฝ่ายกัมพูชายังคงมีการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือเป็นการละเมิดพันธกรณีระหว่างประเทศตามอนุสัญญาว่าด้วยการห้ามใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (อนุสัญญาออตตาวา) อย่างร้ายแรง และเป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักมนุษยธรรมสากล
@@@……ทั้งนี้ กองทัพบกจะรวบรวมข้อมูล หลักฐาน และรายละเอียดทั้งหมด ส่งมอบให้กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนทางการทูต และยกระดับการชี้แจงต่อประชาคมระหว่างประเทศในเวทีนานาชาติอย่างเป็นทางการต่อไป โดยกองทัพบกขอประณามการกระทำดังกล่าวอย่างถึงที่สุด และขอย้ำว่าการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลในทุกกรณี เป็นการกระทำที่ไม่อาจยอมรับได้ในสังคมโลก

@@@……ก่อนหน้านี้มีการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน สมัยพิเศษ เพื่อคลี่คลายสถานการณ์ปะทะตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา ยังไม่สามารถนำไปสู่ข้อตกลงหยุดยิงได้ในการหารือแบบปิดยาวนานกว่า 2 ชั่วโมง โดยฝ่ายไทยยืนยันชัด กัมพูชาต้องแสดงความรับผิดชอบ และยอมรับ 3 เงื่อนไขหลัก ก่อนจะกลับเข้าสู่ กรอบปฏิญญาสันติภาพกัวลาลัมเปอร์ อย่างเป็นรูปธรรม
@@@……การประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน สมัยพิเศษ เริ่มขึ้นเวลา 12.00 น. ตามเวลาท้องถิ่นกรุงกัวลาลัมเปอร์ ถือเป็นการพบหารือระดับรัฐบาลแบบเผชิญหน้าครั้งแรก นับตั้งแต่การสู้รบปะทุขึ้นอีกครั้งในช่วงต้นเดือนธันวาคม แต่บรรยากาศการเจรจายังตึงเครียด และไม่สามารถหาจุดร่วมเรื่องการหยุดยิงได้
@@@……นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รมว.ต่างประเทศ หัวหน้าคณะผู้แทนฝ่ายไทย แถลงผลหารือว่า ไทยยึดหลักชัดเจนว่า การจะฟื้นฟูปฏิญญาสันติภาพกัวลาลัมเปอร์ได้นั้น “การหยุดยิงต้องเกิดขึ้นก่อน” และต้องเป็นการหยุดยิงที่พิสูจน์ได้ ไม่ใช่เพียงถ้อยแถลงทางการเมือง
@@@……ฝ่ายไทยย้ำ 3 เงื่อนไขสำคัญ ได้แก่ กัมพูชาต้องเป็นฝ่ายประกาศหยุดยิงก่อน ในฐานะประเทศที่เริ่มใช้กำลังทางทหาร / การหยุดยิงต้องเกิดขึ้นจริงและต่อเนื่อง ไม่ใช่หยุดชั่วคราวหรือเลือกปฏิบัติ และต้องแสดงความจริงใจในการแก้ปัญหาด้านมนุษยธรรมและความมั่นคงร่วมกัน โดยเฉพาะการเก็บกู้ทุ่นระเบิด ซึ่งไทยย้ำว่าเป็นประเด็นที่ “ไม่อาจยอมรับได้” หากยังมีการละเลยหรือปัดความรับผิดชอบ
@@@……ผู้สื่อข่าวถามว่า ทั้งสองฝ่ายสามารถตกลงหยุดยิงได้หรือไม่ นายสีหศักดิ์ กล่าวยืนยันว่า ยังไม่มีข้อตกลงใด ๆ จุดยืนของไทยยังคงเดิม และไม่สามารถลดเงื่อนไขได้ในสถานการณ์ปัจจุบัน
@@@……ขณะเดียวกัน สมาชิกอาเซียนหลายประเทศ รวมถึง 2 ผู้แทนทางการทูตของจีน แสดงความคาดหวังให้ทั้งสองฝ่ายหาทางลดระดับความตึงเครียด และกลับสู่กระบวนการสันติภาพโดยเร็ว ด้านกระทรวงการต่างประเทศจีนระบุว่า ทูตจีนประจำไทยและกัมพูชาต่างสนับสนุนให้เกิดการหยุดยิง และฟื้นฟูเสถียรภาพในภูมิภาคโดยสันติวิธี
@@@……สถานการณ์ความรุนแรงตามแนวชายแดน รอบสอง ที่ยืดเยื้อมาตั้งแต่วันที่ 7 ธันวาคม ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 40 ราย และประชาชนมากกว่า 500,000 คน ต้องอพยพออกจากพื้นที่เสี่ยง สร้างแรงกดดันอย่างหนักต่ออาเซียนในการแสดงบทบาทเป็นคนกลาง
@@@……อย่างไรก็ตาม ผลการประชุมครั้งนี้สะท้อนชัดว่า เส้นทางสู่การหยุดยิงยังไม่ใกล้เส้นชัย และตราบใดที่เงื่อนไขพื้นฐานของฝ่ายไทยยังไม่ได้รับการตอบสนอง ความขัดแย้งไทย–กัมพูชายังคงอยู่ในภาวะเปราะบาง ท่ามกลางแรงกดดันจากประชาคมระหว่างประเทศที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

@@@……ที่ทำเนียบรัฐบาล….นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย พร้อม ผบ.เหล่าทัพ ได้แก่ พล.อ.ธราพงษ์ มะละคำ ปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ.อุกฤษฎ์ บุญตานนท์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก พล.ร.อ.ไพโรจน์ เฟื่องจันทร์ ผู้บัญชาการทหารเรือ พล.อ.อ.เสกสรร คันธา ผู้บัญชาการทหารอากาศ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.อ.ชัยพฤกษ์ ด้วงประพัฒน์ เสนาธิการทหารบก ได้ร่วมประชุม สมช. เพื่อติดตามสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ในจุดสำคัญต่าง ๆ หลังร่วม หารือวงเล็ก ที่ตึกไทยคู่ฟ้า พร้อมด้วย นายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ และนายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย
@@@……หลังการประชุม นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกระฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย ได้ตอบนักข่าวถึงการหารือร่วมกับผู้บัญชาการเหล่าทัพ บนตึกไทยคู่ฟ้า ซึ่งมีการเผยแพร่ภาพออกมา ปรากฏภาพผู้นำเหล่าทัพมีสีหน้าไม่ค่อยสู้ดี เพราะมีการพูดคุยเรื่องหยุดยิงหรือไม่นั้นว่า ไม่ จำได้ว่าทุกคนโอเค. เนื่องจากเรามาคุยหารือ
@@@……ต่อข้อถามว่า มีการพูดคุยถึงการเจรจาหยุดยิงหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า เราคุยกันแทบทุกเรื่อง เพื่อติดตามความคืบหน้า และถามถึงสถานการณ์ความเป็นไป ที่ไม่สามารถเปิดเผยได้อยู่แล้ว เมื่อถามต่อว่าก่อนที่จะมีการประชุม GBC วันที่ 24 ธันวาคมนี้ จะมีการเจรจาหยุดยิง และ จะต้องมีการหารือกับกองทัพอีกครั้งใช่หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า เรื่องท่าทีทางการทหาร จะต้องหารือกับทางกองทัพอยู่แล้ว รัฐบาลจะไปตัดสินใจฝ่ายเดียวไม่ได้

@@@……กองทัพเรือ…. พล.ร.อ.ไพโรจน์ เฟื่องจันทร์ ผู้บัญชาการทหารเรือ เป็นประธานในพิธีประกาศผลสอบความรู้ ประดับเครื่องหมายยศ “ว่าที่เรือตรี” มอบเข็มสามสมอ และเกียรตินิยมบัตรให้แก่นักเรียนนายเรือชั้นปีที่ 5 ประจำปีการศึกษา 2568 จำนวน 84 นาย โดยมี พล.ร.ท.พนม ควรประดิษฐ์ ผู้บัญชาการโรงเรียนนายเรือ และนายทหารชั้นผู้ใหญ่ของโรงเรียนนายเรือให้การต้อนรับ ณ หอประชุมภูติอนันต์ โรงเรียนนายเรือ อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ โดยมีนายทหารชั้นผู้ใหญ่ของกองทัพเรือ ตลอดจนหัวหน้าหน่วยสายวิทยาการ รวมทั้งผู้แทนผู้บังคับการตำรวจน้ำ เข้าร่วมพิธี ฯ
@@@……สำหรับในปีการศึกษา 2568 มีนักเรียนนายเรือชั้นปีที่ 5 ซึ่งเป็นนักเรียนนายเรือรุ่นที่ 119 ที่สำเร็จการศึกษาจำนวน 84 นาย ประกอบด้วย สาขาวิชาวิศวกรรมศาสตรบัณฑิต 81 นาย และ หลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาบริหารศาสตร์ 3 นาย
@@@……ภายหลังจากที่ผู้บัญชาการทหารเรือประดับยศและมอบเกียรตินิยมบัตรผู้มีการศึกษายอดเยี่ยมเรียบร้อยแล้ว ผู้บัญชาการทหารเรือได้ แสดงความยินดีกับผู้ที่สำเร็จการศึกษา โดยกล่าวว่าการสำเร็จการศึกษาที่โรงเรียนนายเรือ เป็นสิ่งแสดงว่าทุกคนถึงพร้อมด้วยความรู้ความสามารถ ภาวะผู้นำและความเป็นสุภาพบุรุษอันเป็นคุณลักษณะสำคัญที่นายทหารเรือไทยได้ยึดถือปฏิบัติสืบทอดกันมานาน
@@@……ผู้บัญชาการทหารเรือ ได้มอบแนวทางการรับราชการ แก่นักเรียนนายเรือ โดยมีความสำคัญตอนหนึ่งว่า สถานการณ์ในวันนี้ แตกต่างจากยุคสมัยของรุ่นพี่ ๆ ความขัดแย้งในระดับภูมิภาคทวีความรุนแรงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด การปะทะด้วยกำลังอาวุธกับประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป ทะเลที่เราเห็นว่าสงบนิ่งอาจกลายเป็นสมรภูมิได้เพียงชั่วข้ามคืน ท่านอาจจะต้องพบกับบทพิสูจน์ ความสามารถในสนามการปฏิบัติงานจริง ที่มีทั้งความกดดันเต็มไปด้วยข้อจำกัด ความท้าทาย และที่สำคัญมีความเสี่ยงสูง กองทัพเรือต้องการความรู้ ความสามารถ ความกล้าหาญ และภาวะผู้นำของพวกท่าน เพื่อเข้าไปเสริมรุ่นพี่ ๆ ในการบังคับบัญชาหน่วยทหาร ปฏิบัติภารกิจในการปกป้องชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ช่วยเหลือประชาชนในยามวิกฤต และผลักดันให้ทุกการกิจของกองทัพเรือประสบความสำเร็จ
@@@……ในห้วงการปฏิบัติงานในกองทัพเรือ ของพวกท่านในภาพรวม ท่านจะต้องหมุนเวียนย้ายไปปฏิบัติงานในหน่วยต่าง ๆ ทั้งหน่วยรบ ฝ่ายอำนวยการ หน่วยสนับสนุน หน่วยศึกษา และหน่วยเทคนิคต่าง ๆ เติบโตตามแนวทางรับราชการ ผมขอให้ท่านตั้งปณิธานกับตัวเองไว้ว่า ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปเท่าใด ท่านจะเป็นคนดีที่เพื่อน พี่ น้องยอมรับ และคนเก่งที่กองทัพภาคภูมิใจ ดำรงตนด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ให้ธรรมาภิบาลนำทางในการทำงาน เพื่อประโยชน์สูงสุดของกองทัพเรือต่อไป
@@@……ทั้งนี้ โรงเรียนนายเรือเป็นสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาที่ผลิตนายทหารเรือสัญญาบัตรหลักของกองทัพเรือ โดยนักเรียนนายเรือที่สำเร็จการศึกษาจะได้รับปริญญาบัตร ในระดับปริญญาตรีเช่นเดียวกับสถาบันอุดมศึกษาอื่นๆ และได้รับการแต่งตั้งยศ นายทหารชั้นสัญญาบัตรเป็น “ว่าที่เรือตรี” ซึ่งระหว่างการศึกษาที่โรงเรียนนายเรือนักเรียนนายเรือจะได้รับการฝึกภาคปฏิบัติทางทะเลทั้งในประเทศและต่างประเทศเพื่อเพิ่มพูนทักษะในการรับราชการและมีการเยี่ยมเยือนจังหวัดชายทะเลฝั่งอ่าวไทยและอันดามันรวมถึงเมืองท่าของประเทศต่าง ๆ เช่น ประเทศกลุ่มอาเซียน รัสเซีย ญี่ปุ่น จีน เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย ศรีลังกา และอินเดีย
@@@……ปิดท้ายเรื่อง “ทหารอาสา” นายอนุทิน ชาญวีรกูล ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ได้แถลงนโยบายการเลือกตั้งปี 2569 ของพรรคภูมิใจไทย ในตอนหนึ่ง ว่า ภัยของประเทศในวันนี้ หลักๆมี 4 ด้าน ที่เป็นภัยคุกคามประเทศ ทั้งเศรษฐกิจ สังคม ภัยพิบัติ และภัยความมั่นคง สิ่งที่ไม่อยากให้คนไทยต้องกังวลเลย อย่ากลัวเสียอธิปไตย พรรคภูมิใจไทยจะทำให้ความหวาดระแวง ความกลัวของท่าน เปลี่ยนมาเป็นความมั่นคง มั่งคั่ง และเชื่อมั่น
@@@……นายอนุทิน กล่าวว่า เรื่องภัยความมั่นคง ตลอด 2 เดือนที่ผ่านมา รัฐบาลที่นำโดยพรรคภูมิใจไทย ทำงานอย่างหนักในการแก้ปัญหาชายแดน ต้องขอบคุณทุกภาคส่วน โดยเฉพาะกองทัพที่ให้ความเชื่อมั่นในรัฐบาลที่มีพรรคภูมิใจไทยเป็นแกนนำ ทำให้ประเทศปลอดจากภัยคุกคาม เสริมสร้างศักยภาพกองทัพให้เข้มแข็ง เราต้องทำให้ประเทศไทย เป็นที่ยำเกรง ของคนที่ประสงค์ร้ายต่อประเทศ เราจะทำต่อไปให้มีความแข็งแกร่งมั่นคงยิ่งขึ้น
@@@……คนที่คิดว่าจะทำอะไรประเทศไทยหรือเราต้องยอมทุกอย่าง ต้องกลับไปพลิกตำราใหม่ เพราะต่อจากนี้ ไทยจะมีความแข็งแกร่ง โดยเฉพาะเรื่องความมั่นคง พรรคสร้างรั้วแน่นอน แต่เป็นรั้วของชาติ สร้างความมั่นคงปลอดภัยในชีวิตประชาชนทุกคน เราจะสร้างรั้วของชาติที่ป้องกันภัยทุกมิติ ทั้งทางการทหาร ภัยสงคราม ภัยยาเสพติด ภัยการลักลอบขนของเถื่อน การลักลอบนำเข้าพืชผลทางการเกษตร และแรงงานเถื่อน
@@@……นายอนุทิน กล่าวว่า พรรคภูมิใจไทยจะทำโครงการ “ทหารอาสา” เพื่อรับใช้ชาติ อย่างสมัครใจ และมีอนาคต เราจะเปลี่ยนคำว่า “ทหารเกณฑ์” เป็นคำว่า “ทหารอาสา ” เพื่อจะได้มีทหารที่ตั้งใจเต็มใจเข้ามาปกป้องอธิปไตยดินแดนของเราโดยจะเปิดรับสมัคร ทหารอาสา 1 แสนคน ให้พวกเขาได้รับราชการเป็นทหาร 4 ปี เงินเดือน 12,000 บาท จะทำให้ประเทศมีกำลังพลที่เข้มแข็ง ในการปกป้องแผ่นดิน ปกป้องอธิปไตยไทย
…………..
คอลัมน์ : “Military Key”
โดย.. “รหัสมอร์ส”



















