การขับเคลื่อนพลังงานสะอาด โดย กลุ่ม Data Center อุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่มาแรงแห่งยุคดิจิทัลส่วนหนึ่งก็พาเหรดมาลงทุนที่ไทย
ข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เดือนกรกฎาคม 2568 รายงานว่า มีโครงการ Data Center และบริการคลาวด์ ที่ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุนจาก บีโอไอ รวม 37 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวม 98,539 ล้านบาท ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ที่กรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ ชลบุรี และระยอง
เหตุผลที่มาลงทุนในไทย เพราะความได้เปรียบจากทำเลการเป็น “ศูนย์กลางของอาเซียน” ที่มีประชากรรวม ๆ เป็นอันดับ 3 ของโลก หรือ 672.39 ล้านคน (ตัวเลขในปี 2565) ซึ่งไทยเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างกลุ่มประเทศ CLMVT มีความเสี่ยงต่อภัยธรรมชาติต่ำเมื่อเทียบกับหลายประเทศ มีความมั่นคงปลอดภัยสูง มีกฎระเบียบที่เป็นมาตรฐานสากล มีเครือข่าย 5G ที่กำลังขยายครอบคลุมพื้นที่ต่างๆ สามารถรองรับการส่งข้อมูลได้ในปริมาณสูง ช่วยเสริมศักยภาพของเทคโนโลยี AI และ IoT
อีกปัจจัยหนึ่งมาจาก Ecosystem ของการใช้งานของคนไทย ตามรายงาน Digital 2025 จัดทำขึ้นโดย We Are Social และ Meltwater ที่พบว่า เรามีการเชื่อมต่อทางโทรศัพท์มือถือ 138.9% สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกที่ 107.1% และสัดส่วนคนไทยใช้อินเทอร์เน็ตอยู่ที่ 91.2% ของประชากร สูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 67.9% เล่นอินเทอร์เน็ต 1 ใน 3 ของวัน หรือวันละ 7.54 ชั่วโมง สูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 6.38 ชั่วโมง และใช้งานผ่านมือถือสูงถึง 5 ชั่วโมงต่อวัน ขณะที่ค่าเฉลี่ยทั่วโลก 3.46 ชั่วโมง ด้านหนึ่งเป็นพื้นฐานสำหรับธุรกิจออนไลน์และอุตสาหกรรมดิจิทัล
ในด้านพลังงานไทยมีระบบไฟฟ้าที่มีความเสถียร โครงข่ายไฟฟ้าโยงใยทั่วประเทศ และมีศักยภาพในการจัดหาพลังงานสะอาดตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (PDP) ซึ่งเป็นที่ต้องการของ Data Center
ซึ่ง Google เป็นหนึ่งในนักลงทุนที่จะมาลงทุน Data Center ในไทยด้วย เปิดรายงานสิ่งแวดล้อมประจำปี 2025 ระบุว่า Google มีเป้าหมายที่จะทำงานร่วมกับพันธมิตรเพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าลง 1 กิกะตันต่อปีภายในปี พ.ศ.2573 และ Google ยังมีแผน Google Clean Energy Addendum (CEA) เพื่อขอให้ซัพพลายเออร์จับคู่การใช้ไฟฟ้า 100% กับพลังงานสะอาดสำหรับการผลิตผลิตภัณฑ์ของ Google ภายในสิ้นปี พ.ศ.2572

ตามความเป็นจริงแล้ว ตอนนี้ Google ยังลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกไม่ได้ตามเป้าหมายแถมปล่อยเพิ่มด้วย ในปีที่แล้วมีการปล่อยตาม Scope 1 (การปล่อยก๊าซโดยตรงจากแหล่งที่องค์กรเป็นเจ้าของหรือควบคุม) ลดลง 8% ส่วน Scope 2 (การปล่อยก๊าซทางอ้อมจากการใช้พลังงานที่ซื้อมา) ลดลง 11% ขณะที่การปล่อยก๊าซเรือนกระจก Scope 3 (การปล่อยทางอ้อมอื่นๆจากห่วงโซ่อุปทาน) เพิ่มขึ้น 22% ส่วนใหญ่มาจากการขยายโครงสร้างพื้นฐานของ Data Center ทั่วโลกของ Google
ดังนั้น Google จึงพยายามหาแนวทางลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้กับ Data Center ที่ไปก่อสร้างไว้ โดยลงนามข้อตกลงใหม่ 16 ฉบับ มูลค่า 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในการลดคาร์บอนประมาณ 728,300 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า โครงการสำคัญคือพลังงานสะอาดใหม่จากเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์แบบโมดูลาร์ขนาดเล็ก (SMRs) เพราะช่วยลดการปล่อยคาร์บอนได้อย่างชัดเจนโดย ได้ร่วมมือกับ Kairos Power และพัฒนาโครงการพลังงานความร้อนใต้พิภพในเนวาดาด้วย
สำหรับเป้าหมายสูงสุดของ Google ในเรื่องพลังงานสะอาดที่วางไว้เป็นกลยุทธ์คือ การใช้พลังงานคาร์บอนเป็นศูนย์ตลอด 24 ชั่วโมงตลอด 7 วัน (24/7 Carbon-Free Energy : 24/7 CFE) หมายถึงมีพลังงานสะอาดที่เข้ามาในโครงข่ายสายส่งไฟฟ้า (กริด) ที่สามารถตอบสนองทุกหน่วยของการใช้ไฟฟ้าในทุก ๆ ช่วงที่มีการใช้ ไฟฟ้า
ประเด็นสำคัญที่จะทำให้กลยุทธ์นี้ทำได้ตามเป้าหมายคือ การเชื่อมโยงการซื้อพลังงานสะอาดเข้ากับการบริโภคพลังงานจริงในแต่ละช่วงเวลา แทนที่จะชดเชยโดยเฉลี่ยรายปี แต่แนวทางนี้ต้องอาศัยการจัดการที่ซับซ้อนและมีต้นทุนสูง ต้องการความเชี่ยวชาญด้านการจัดซื้อพลังงานสะอาด และความร่วมมือที่ใกล้ชิดกับผู้ให้บริการสำคัญ คือ ไปกระทบกับระบบโครงข่ายไฟฟ้าดั้งเดิมของประเทศต่าง ๆ ดังนั้น แนวทางที่ Google กำลังทำทั่วโลกรวมถึงเอเชียแปซิฟิก คือการจัดการกับโครงข่ายไฟฟ้าของประเทศนั้น ๆ ซึ่งต่างยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด

ในส่วนของไทย แม้ว่าจะเริ่มผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดมาตามลำดับ และกำลังพุ่งไปสู่สัดส่วนการใช้พลังงานสะอาดให้ได้ 51% ในปี พ.ศ.2580 แต่ยังก้าวไปไม่พ้นพลังงานฟอสซิล เรามีการให้บริการไฟฟ้าสีเขียวแบบไม่เจาะจงแหล่งที่มา (UGT1) แล้ว โดยนำไฟฟ้าสะอาดในระบบของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยมาให้บริการ และมีใบรับรองการผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนให้ด้วย (Renewable Energy Certificate : REC) เปิดให้บริการแล้วตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม 2568 คิดค่าบริการส่วนเพิ่มไปเพียง 0.0594 บาท/หน่วย แต่ก็ไปไม่ถึงเป้าหรือมีผู้ซื้อไป 450-500 ล้านหน่วย จาก 2,000 ล้านหน่วยต่อปี
คำตอบคือ นักลงทุนรายใหญ่ต้องการไฟฟ้าสีเขียวแบบเจาะจงแหล่งที่มา (UGT2) ซึ่งคาดว่าจะเปิดให้บริการปีนี้ และจะตามมาด้วย Direct PPA หรือผู้ผลิตและผู้ใช้ซื้อไฟฟ้าตรง ซึ่งจัดทำขึ้นเพื่อมารองรับ Data Center โดยเฉพาะ เน้น ๆ ว่า เครื่องมือใหม่จะเรียกว่าอะไรก็ตาม ต้องทำให้ผู้ใช้สามารถอ้างสิทธิ์ใช้ไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดได้แบบเรียลไทม์ แม้ว่าชั่วโมงนั้นแดดหรือลมจะผลิตออกมาไม่ได้ก็ตาม
ถือเป็นแรงกดดันเลยทีเดียวสำหรับ “3 การไฟฟ้าฯ” ในบ้านเรา ที่เรายังเป็น “กริด” แบบดั้งเดิม ซึ่ง “ดิจิทัลกริด” ที่นักลงทุนอยากได้ ต้องมีลักษณะดังนี้
1.ตรวจสอบแบบเรียลไทม์ด้วยเซ็นเซอร์อัจฉริยะและอุปกรณ์ IoT
2.ข้อมูลละเอียดแบบเรียลไทม์ เช่น ทุกนาที หรือวินาที เก็บไว้บนแพลตฟอร์มคลาวด์
3.นอกจากการไฟฟ้าและ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) แล้วผู้บริโภค ผู้ตรวจสอบ และนักลงทุนสามารถเข้าถึงแพลตฟอร์มคลาวด์ได้
4.วิเคราะห์ด้วย AI เพื่อตรวจสอบว่าเป็นพลังงานหมุนเวียนจริง
5.บัญชีคาร์บอนแบบบูรณาการร่วมกับข้อมูลการไหลของพลังงานไฟฟ้า
6.การคาดการณ์และปรับแบบอัตโนมัติด้วย Machine Learning

ตอนที่ บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) ได้ประกาศแผนการลงทุนเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ในการทำ Data Center กับกลุ่ม Digital Edge มูลค่าโครงการ 24,520 ล้านบาท ไม่นับรวมเงินลงทุนระบบภายในจากไฮเปอร์สเกลเลอร์ เช่น แรม (RAM) เทคโนโลยีอีก 20,000 ล้านบาท ซึ่ง “ผู้บริหาร บี.กริม” ระบุว่าจะต้องเข้าไปหารือกับภาครัฐ เพื่อเชื่อมต่อระบบไฟฟ้าระหว่างรัฐและเอกชนให้เกิด Third Party Access (TPA) ขึ้นมา รวมถึงมาตรการ Direct PPA ที่ดึงพลังงานนอกกริดให้เข้ามาในกริดมากขึ้น
จริง ๆ แล้วโรงไฟฟ้าของเอกชนขายตรงให้กับผู้ใช้ได้โดยตรงอยู่แล้วในนิคมต่าง ๆ เพียงแต่โมเดลใหม่ที่โรงไฟฟ้าจะขายไฟฟ้าสะอาดตรงให้ผู้ใช้ไฟฟ้ามหาศาลอย่าง Data Center นั้น ต้องเข้าเป้าเป็นไฟฟ้าที่เชื่อถือได้และต้องเสถียร ซึ่งแดดลมไม่พอและไม่เสถียรแน่นอน จำเป็นต้องพึ่งพิงไฟฟ้าจากระบบ ซึ่งมีทั้งไฟฟ้าสีเขียวจากพลังงานหมุนเวียนและเป็นฟอสซิลปะปนมา ดังนั้นทำอย่างไรที่ไฟฟ้าจากกริด และนอกกริดจะต้องไหลไปให้กับ Data Center อย่างสอดประสานและราบรื่นไม่ให้มีสะดุดได้
ถือเป็นงานหินที่จะทำให้ได้อย่างที่ Google ต้องการ CFE ตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน แต่อีกฟากหนี่ง Google ก็กำลังพัฒนาการซื้อขายใบรับรองแบบละเอียดไปสู่การจับคู่ระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายรายชั่วโมงในยุโรป หลักการคือใบรับรองเหล่านี้จะจับคู่กับข้อมูลการใช้ไฟฟ้า ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถอ้างสิทธิ์พลังงานปลอดคาร์บอนได้ตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน นำร่องแล้วใน Olympic Paris 2024 ที่มีการใช้ระบบนี้กับสนามกีฬาทุกแห่งซึ่งใช้ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน
“กูรูด้านพลังงาน” อธิบายว่า โครงข่ายไฟฟ้าแห่งอนาคตที่เรียกว่า “ดิจิทัลกริด” นั้น จะทำหน้าที่เสมือน “ผู้ทำบัญชี” โดยทำหน้าที่ตรวจสอบข้อมูลขาเข้ามายังผู้ใช้ และขาออกจากผู้ผลิตให้ตรงกัน เพื่อให้มั่นใจว่า มีความรับผิดชอบต่อคาร์บอน (Carbon Accountability) ซึ่งหากไทยจะเปลี่ยนกริดดั้งเดิม เป็นดิจิทัลกริด แม้ว่าจะยังไม่มีการระบุตัวเลขอย่างเป็นทางการ แต่คาดว่าต้องใช้เงินมหาศาลอาจถึงแสนล้านบาท ขึ้นอยู่กับขอบเขตว่าจะทำถึงขั้นไหนบ้าง จะเป็นมิเตอร์อัจฉริยะ แพลตฟอร์มคลาวด์ ระบบ AI สถานีไฟฟ้าย่อยดิจิทัล เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของ Digital Substation ทั้ง “3 การไฟฟ้าฯ” ได้ลงทุนไปบางส่วนแล้ว ทางด้านการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ได้ลงทุนติดตั้งมิเตอร์อัจฉริยะ (smart meter) 95,250 เครื่องให้กับผู้ใช้ไฟฟ้ารายย่อยที่พัทยา 2562-2566 พื้นที่เดียวใช้งบไป 1,800 ล้านบาท และยังค่อย ๆ ขยายไปพื้นที่อื่น ๆ การลงทุนใดก็ตาม ต้องคำนึงถึงค่าไฟฟ้าของภาพรวมด้วย เพราะทุกการลงทุนโครงสร้างไฟฟ้าจะเข้ามาเป็นต้นทุนค่าไฟฟ้าทั้งหมด

เช่นเดียวกับที่ อดีตนายกรัฐมนตรี “ทักษิณ ชินวัตร” ได้ เปิดตลาดขายฝันรอบใหม่ ในเวที “ปลดล็อกอนาคตประเทศไทย … สู้วิกฤติโลก” เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมาถึง การส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์ฟาร์ม 40,000 เมกะวัตต์ บนที่ดินส.ป.ก. เพื่อป้อนให้กับ Data Center นั้น ก็ต้องดูให้ถ้วนถี่ว่า ทำแล้วประชาชนได้อะไร ประเทศได้อะไร แล้วเสียอะไร คุ้มหรือไม่ในระยะยาว
ตอนนี้การจะเดินหน้าตามฝันนั้น ก็คงไม่ง่ายนักด้วยเครดิตของท่านในตอนนี้ เมื่อก่อนขายแล้ว ทำได้บ้าง-ไม่ได้บ้าง มีผลอะไรคนจำไม่ได้ แต่ยุคนี้ รอยเท้าบนโลกดิจิทัลสาวย้อนกลับได้ง่ายๆ เอาเฉพาะแค่ “ข้อกฎหมาย” ก็คงฟาดฟันกันยกใหญ่ถึงนิยามของ “ที่ดินส.ป.ก.” ว่าพื้นที่ทำเกษตรเอาไปทำพลังงานได้หรือไม่ เพราะการทำโซลาร์ฟาร์มต้องใช้เต็มพื้นที่ ไม่เหมือนพลังงานลมที่จะใช้พื้นที่เฉพาะตั้งเสาเท่านั้น
รวมถึงประเด็น “การลงทุนลากสายส่งไฟฟ้าแรงดันสูงไปให้กับ Data Center” หลายร้อยกิโลเมตร ก็ต้องมาว่ากันด้วยเรื่อง “เงินลงทุน” ที่ต้องใช้เงินหลักหลายสิบล้านบาทต่อกิโลเมตร ซึ่งการรอนสิทธิ์ในที่ดินของประชาชนจำนวนมาก เพื่อลากสายส่งต้องดำเนินการโดย “3 การไฟฟ้าฯ” หมายถึงทั้ง “3 การไฟฟ้าฯ” ต้องตั้งงบประมาณ เพื่อการนี้ ซึ่งจะมาพัวพันกับต้นทุนค่าไฟฟ้าที่ประชาชนต้องรับ
……………………………………….
คอลัมน์ : เข็มทิศพลังงาน
โดย…“ศรัญญา ทองทับ”
สนับสนุนคอลัมน์ โดย : บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน)












