วันที่ 2 กรกฎาคม 2568 “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน ออกมาประกาศผ่านโซเชียลมีเดียเช่นเดิม โดยไลฟ์สดผ่าน Facebook Page หัวข้อ “Behind the Bill – ผลประโยชน์ของพลังงานไฟฟ้า” โดยวันนั้น “เขา” พูดในหลาย ๆ เรื่อง ประเด็นสำคัญ ดูจะเป็นตอนที่พูดถึง “ต้นทุนค่าไฟฟ้า”
“เขา” บอกถึงโครงสร้างการผลิตและขายไฟฟ้า ที่ถูกวางไว้มาเนิ่นนานในอดีต ก่อนเขามาเป็น “รมว.พลังงาน” ว่า “การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ผลิตไฟฟ้าออกมา แต่ไม่ได้เป็นหน่วยงานขายไฟให้ประชาชนโดยตรง มีการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) เป็นหน่วยงานขายให้ประชาชนตามพื้นที่ในความดูแล และนอกจากไฟฟ้าจะผลิต โดย กฟผ.แล้ว ก็ยังมีเอกชนมาผลิตขายให้ กฟผ.ด้วย เพื่อให้ กฟผ.ไปขายต่อให้กฟน.และกฟภ.อีกที”
ซึ่ง “รมว.พลังงาน” มองว่า โครงสร้างที่ซ้อน ๆ กันแบบนี้ เป็นส่วนหนึ่งของ “ต้นทุนค่าไฟฟ้า” ที่แฝงในต้นทุนทั้งหมดที่ถูก ++ เข้ามา

“เขา” จึงเห็นว่า เมื่อมี “กฟผ.” ผลิตไฟฟ้าเข้าระบบอยู่แล้ว ก็ต้องส่งเสริมให้ “กฟผ.” ดำเนินการ เพราะเป็นหน่วยงานรัฐ ที่รัฐสามารถคอนโทรลการผลิต และการชำระหนี้ได้ ที่สำคัญ “ไม่ได้มีเป้าประสงค์จะหากำไร”
ส่วนที่ให้เอกชนผลิตไฟฟ้าขายเข้าระบบนั้น “เขา” ย้ำว่า “บางครั้งมีความจำเป็น และมีเหตุผลรองรับก็จริง แต่ไม่ใช่ตลอดเวลา และไม่ใช่ลดไม่ได้ ก็เมื่อมี กฟผ.อยู่ ก็ต้องให้ กฟผ.ดำเนินการ”
สรุปแล้ว “รมว.พลังงาน” ต้องการให้ “กฟผ.” ผลิตไฟฟ้าเข้าระบบให้มากขึ้น แทนที่จะให้ “เอกชน” มาผลิตเข้าระบบเพิ่มขึ้น ๆ เช่น ในปัจจุบัน ข้อมูล ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2568 “กฟผ.” มีสัดส่วนการผลิตอยู่ 31.26% ส่วนโรงไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ (IPP) มีสัดส่วนการผลิต 39.02%
แต่ความประสงค์ให้ “กฟผ.” มีสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าเข้าระบบมากขึ้น แต่ละเมกะวัตต์ไม่ง่ายดังใจ “รมว.พลังงาน” แม้จะเป็นเรื่องที่ควรทำ ในการสนับสนุนให้หน่วยงานรัฐเข้มแข็งและมีบทบาทในกิจการไฟฟ้าของประเทศ เพื่อให้มีพลังมากพอ ที่จะการันตีความมั่นคงทางพลังงานของประเทศอย่างแท้จริง โดยเฉพาะในยามวิกฤติ ที่ควรทำแต่ไม่ง่าย เพราะต้องไปฟาดฟันในการร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ หรือ PDP ฉบับใหม่ ที่หลายภาคส่วนเข้ามาเกี่ยวข้อง รวมถึงภาคเอกชน
ดังนั้น “กฟผ.” จะผลิตเพิ่มเท่าไหร่ และเอกชนจะผลิตเข้าระบบได้เท่าไหร่ ต้องใช้พลังภายในกันพอสมควร ซึ่งตรงนี้แหละ เป็นหัวใจสำคัญของการร่างแผน PDP ประเด็นอื่นเป็นแค่องค์ประกอบ
การเพิ่มสัดส่วนการผลิตให้กับ “กฟผ.” ที่ “รมว.พลังงาน” ขันอาสาจะทำนั้น จึงถือเป็น “งานหิน” ทีเดียว ที่ดูแล้ว “ปลายทาง” อาจไม่สามารถพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินอย่างที่ประสงค์ได้ เต็มที่คือ “เป็นพันธมิตรกับเขาไป”
ซึ่งวันเดียวกันนั้น เว็บไซต์ของ Forbes Thailand ได้เผยแพร่การจัดอันดับทำเนียบ 50 มหาเศรษฐีไทย ประจำปี 2568 ตามข้อมูลของ Forbes มหาเศรษฐีไทยอันดับสาม ได้แก่ “สารัชถ์ รัตนาวะดี” บิ๊กเนมพลังงาน ด้วยทรัพย์สิน 1.2 หมื่นล้านเหรียญ หรือ 3.90 แสนล้านบาท
ตามข้อมูลของ Forbes ระบุว่า ตัวเลขนี้เกิดขึ้นหลังจากควบรวมกิจการระหว่าง Gulf Energy Development กับ Intouch Holdings และนำบริษัทที่ควบรวมแล้วเข้าจดทะเบียนในชื่อ Gulf Development เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา

จากข้อมูลบริษัท GULF ในส่วนธุรกิจพลังงาน มีกำลังการผลิตรวม 23,355 เมกะวัตต์ ดำเนินการอยู่ 15,099 เมกะวัตต์ อยู่ระหว่างก่อสร้างและพัฒนา 8,256 เมกะวัตต์
สำหรับ การผลิตที่จำหน่ายไฟฟ้าเข้าระบบในไทย ประกอบด้วย โครงการ IPP ที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงจำนวน 6 โครงการ กำลังการผลิตติดตั้ง 9,491 เมกะวัตต์ที่กำลังดำเนินการอยู่ และอีก 1,370 เมกะวัตต์อยู่ระหว่างก่อสร้างหรือพัฒนา โครงการเหล่านี้ผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่กฟผ. ภายใต้สัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) ระยะยาว 25 ปี
ส่วนพลังงานหมุนเวียนที่เข้าระบบของไทย ได้แก่…
1.พลังงานลม ประกอบด้วย 3 โครงการ กำลังการผลิตรวม 178 เมกะวัตต์ ไฟฟ้าที่ผลิตขายให้กับ กฟผ. ภายใต้สัญญา PPA ระยะยาว 25 ปี ดำเนินงานภายใต้ บริษัทกัลฟ์ กันกุล คอร์เปอเรชั่น จำกัด (GGC) ซึ่งบริษัทนี้มีเป้าหมายจะพัฒนาโครงการพลังงานทดแทนให้ได้ 1,000 เมกะวัตต์ภายใน 5 ปีเพื่อให้มาสอดรับกับการดำเนินธุรกิจศูนย์ข้อมูล (Data Center) ของ GULF
2.ไฟฟ้าพลังน้ำ GULF อยู่ระหว่างพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำบนลุ่มแม่น้ำโขงใน สปป. ลาว 3 โครงการ ได้แก่ โครงการปากแบง โครงการปากลาย และโครงการหลวงพระบาง กำลังการผลิตติดตั้งรวม 3,142 เมกะวัตต์ และกำลังการผลิตตามสัญญา 3,060 เมกกะวัตต์ จำหน่ายไฟฟ้าที่ผลิตได้ทั้งหมดให้กับ กฟผ. ตามสัญญา PPA ระยะยาว 29-35 ปี ภายใต้กรอบความร่วมมือซื้อขายไฟฟ้าระหว่างไทยกับ สปป.ลาว
3.โรงไฟฟ้าชีวมวล ตามข้อมูลบริษัทฯของ GULF ระบุว่า เป็นการดำเนินโครงการผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) ใช้เศษไม้เป็นเชื้อเพลิงหลัก กำลังการผลิตรวม 25 เมกะวัตต์ โดยไฟฟ้าที่ผลิตได้จะขายให้กับ กฟภ. ภายใต้สัญญา PPA แบบต่ออายุได้ทุก 5 ปี สัญญามีความยืดหยุ่นในการต่ออายุเมื่อครบกำหนด
4.โรงไฟฟ้าขยะ กำลังการผลิต 9.5 เมกะวัตต์ ขายไฟฟ้าเข้าสู่โครงข่าย 8 เมกะวัตต์แปรรูปจากขยะชุมชน 650 ตันต่อวัน ปัจจุบันอยู่ระหว่างการก่อสร้าง โรงไฟฟ้ามีสัญญา PPA ระยะเวลา 20 ปี กับกฟภ.กำหนดเริ่มเดินเครื่องในเชิงพาณิชย์ภายในปี พ.ศ.2569
ในส่วน “ธุรกิจก๊าซธรรมชาติ” GULF ได้ลงทุนและพัฒนา ก่อสร้าง และบริหารจัดการระบบท่อจัดจำหน่ายก๊าซธรรมชาติ ในโครงการจัดจำหน่ายก๊าซธรรมชาติทางท่อ ซึ่งท่อเหล่านี้เชื่อมต่อกับระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติของ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) โดยตรงรองรับกลุ่มลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรม
ขณะเดียวกันก็กำลังขยายธุรกิจก๊าซธรรมชาติต่อเนื่อง ภายใต้โครงการท่าเรือก๊าซและสถานีรับ-จ่ายก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จังหวัดระยอง ดำเนินการภายใต้รูปแบบสัญญาร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (Public-Private Partnerships) ร่วมกับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (IEAT) ซึ่งกิจการท่าเทียบเรือก๊าซและสถานีรับ-จ่าย LNG รองรับการขนส่ง LNG อย่างน้อย 5 ล้านตันต่อปี ในเฟส 1 และขยายจนถึง 10.8 ล้านตันต่อปี ในระยะที่ 2
ไม่เฉพาะท่าเทียบเรือก๊าซและสถานีรับ-จ่าย LNG ยังดำเนินธุรกิจจัดหาและค้าส่งก๊าซธรรมชาติภายใต้บริษัท กัลฟ์ แอลเอ็นจี จำกัด (GULF LNG) และบริษัทร่วมค้า บริษัท หินกองเพาเวอร์โฮลดิ้ง จำกัด (HKH) ซึ่งบริษัทหินกองฯเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) และบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) สัดส่วนการถือหุ้น 51% และ 49% ตามลำดับ
ทั้ง บริษัท กัลฟ์ แอลเอ็นจี จำกัด และบริษัทร่วมค้า บริษัท หินกองฯ ทั้งสองบริษัทฯต่างได้รับใบอนุญาตในการจัดหาและค้าส่งก๊าซธรรมชาติเหลว (Shipper License) จากคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน 6.4 ล้านตันต่อปี และ 1.4 ล้านตันต่อปีตามลำดับ ซึ่ง LNG ที่นำเข้าจำหน่ายให้แก่โรงไฟฟ้าประเภท IPPs และ SPPs รวมถึงจัดจำหน่ายให้กับผู้ประกอบการในกลุ่มบริษัท
ในส่วนของบริษัท หินกองฯ ได้นำเข้า LNG มาแล้วเพื่อป้อนโรงไฟฟ้าหินกอง หน่วยที่ 1 กำลังผลิตตามสัญญา 700 เมกะวัตต์ เป็นโรงไฟฟ้า IPP ที่มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ กฟผ.ระยะเวลา 25 ปี

ทั้งนี้ อนาคต GULF มีเป้าหมายจะจัดหาและนำเข้า LNG ในปริมาณรวม 7.8 ล้านตันต่อปี เพื่อนำมาเป็นเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้าให้กับโครงการโรงไฟฟ้า IPP ของกลุ่มบริษัทฯ ทั้งโรงไฟฟ้ากัลฟ์ ปลวกแดง (GPD) และโรงไฟฟ้ากัลฟ์ ศรีราชา (GSRC) และจำหน่ายให้แก่ลูกค้าอุตสาหกรรมของโรงไฟฟ้า SPP จำนวน 19 โครงการของกลุ่มบริษัทฯ รวมไปถึงกลุ่มของบริษัท ปตท. จำหน่ายก๊าซธรรมชาติ จำกัด (PTT NGD) โดยมีแผนที่จะนำเข้า LNG ป้อนตลาดในภูมิภาคด้วย
ไม่เฉพาะ ธุรกิจพลังงาน และที่เกี่ยวข้อง ยังมี “ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานและโลจิสติกส์อื่น ๆ” อาทิ มอเตอร์เวย์ที่ครอบคลุมเส้นทางกว่า 292 กิโลเมตร พัฒนาท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 รองรับปริมาณคอนเทนเนอร์กว่า 4,000,000 TEU/ปี บริหารจัดการท่าเทียบเรือสาธารณะเพื่อขนถ่ายสินค้าเหลวรองรับเรือ 1,000ลำ/ปี
รวมถึง “ธุรกิจดิจิทัล” ที่กำลังเติบโตหลังควบรวมกิจการ กับ Intouch Holdings ตามข้อมูลบริษัทฯ ตอนนี้เป็นผู้ให้บริการด้านโทรคมนาคมรวมกว่า 46 ล้านเลขหมายภายใต้แบรนด์ AIS ให้บริการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลกว่า 200 คู่เหรียญ และให้บริการศูนย์ข้อมูล หรือ DATA CENTER ที่มีความจุ 25 เมกะวัตต์สำหรับการจัดการและจัดเก็บข้อมูลทั้งในประเทศและทั่วโลก รวมถึงให้บริการธุรกิจ Cloud ซึ่งร่วมมือกับ Google ให้บริการ Google Distributed Cloud Hosted (GDCH) และตั้งเป้าหมายที่จะขยายบริการคลาวด์ในด้านอื่น ๆ ด้วย
…ที่กล่าวมาทั้งหมด คงพอจะเห็นภาพว่า ธุรกิจในกลุ่ม GULF ใหญ่มาก ๆ ยากที่ใครจะมาขัดขาให้สะดุด หรือหยุดการเติบโต
“รมว.พลังงาน” จะเอาอะไรมาคานงัด ยังมองไม่เห็น!! แถมตัวเอง…น่าจะเจ็บหนักกว่าในสถานการณ์การเมืองในขณะนี้ ดูแล้วทำได้ที่สุดคือ หันไปเป็น “พันธมิตร” กับ “บิ๊กเนมพลังงาน”
……………………………………….
คอลัมน์ : เข็มทิศพลังงาน
โดย…“ศรัญญา ทองทับ”
สนับสนุนคอลัมน์ โดย : บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน)












