“ความขัดแย้ง” ระหว่าง “ไทย” กับ “กัมพูชา” จนนำไปสู่การ “สู้รบตามแนวชายแดน” ในปี 2568 นี้ ถือว่ารุนแรงกว่าปี 2554 หรือเมื่อ 14 ปีที่แล้ว ที่เกิดความขัดแย้ง กรณีเขาพระวิหาร ตอนนั้นการสู้รบครอบคลุมพื้นที่น้อยกว่า
การรบครั้งนี้นอกจากพื้นที่ขยายวงกว้างกว่าเดิมแล้ว แต่ละประเทศก็มีอาวุธยุทธโทปกรณ์ทันสมัยขึ้น ความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สินจึงมากขึ้นตามไปด้วย รวมถึงเที่ยวนี้มีการปิดด่านตลอดแนวชายแดนสองประเทศในพื้นที่แนวราว 800 กิโลเมตร
นอกจากชีวิตและทรัพย์สินบ้านเรือนประชาชนจะได้รับเสียหาย สิ่งที่น่าวิตกกังวลคือ ความเสียหายทางเศรษฐกิจ ที่จะเห็นผลอีกไม่นาน เนื่องจากการค้าระหว่างไทยกับกัมพูชาบ้านใกล้เรือนเคียง ต่างพึ่งพากันแบบ “น้ำพึ่งเรือ-เสือพึ่งป่า” ทั้งการค้าแบบปกติทั่วไป และการค้าตามแนวชายแดนของทั้งสองประเทศที่มีสถิติเพิ่มขึ้นทุกปี
ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา การค้าระหว่างไทย-กัมพูชา ทั้งการค้าทั่วไปที่ไม่ผ่านชายแดนและการค้าขายตามแนวชายแดน โดยผู้ประกอบการรายย่อย เติบโตอย่างต่อเนื่อง ในปี 2567 มูลค่าการค้ารวมทั้งสองรูปแบบราว 3.7 แสนล้านบาท ขยายตัวถึง 32.1% (ราว 2% ของมูลค่าการค้าทั้งหมดของไทย) ไทยส่งออกไปยังกัมพูชา 3.2 แสนล้านบาทเพิ่มขึ้น 45.8%

โดยไทยนำเข้าสินค้าจากกัมพูชา มูลค่า 0.4 แสนล้านบาท ลดลง 22.5% ในปี 2567 ไทยเกินดุลการค้ากัมพูชาสูงถึง 2.8 แสนล้านบาทเลยทีเดียว ยังมีแนวโน้มเกินดุลเพิ่มขึ้นต่อเนื่องทุกปี เนื่องจากสินค้าไทยได้รับความนิยมค่อนข้างมาก สินค้าไทยที่ส่งออกไป อาทิ น้ำมันสำเร็จรูป อัญมณี น้ำตาลทรายเครื่องดื่ม เคมีภัณฑ์ ไทยนำเข้าสินค้าเกษตร และวัตถุดิบ เช่น มันสำปะหลัง ผักผลไม้ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ ขณะที่การค้าชายแดนระหว่างไทย-กัมพูชา มีสัดส่วนราว 50-60% ของมูลค่าการค้าระหว่างกันทั้งหมดในปี 2567 มูลค่า 1.7 แสนล้านบาท +7.9% ไทยเกินดุลการค้าชายแดนกับกัมพูชาสูงถึง 1.1 แสนล้านบาท
ที่สำคัญ “กัมพูชา” เป็นประเทศเพื่อนบ้านที่ “ไทย” เกินดุลการค้าชายแดนสูงสุด แม้จะมีมูลค่าการค้าต่ำที่สุด เมื่อเทียบกับชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้านอื่น ๆ ก็ตาม
จะเห็นว่า การค้าชายแดนเป็นเส้นเลือดใหญ่ของไทย แต่กำลังถูกสั่นคลอนจากสงครามและสร้างความกังวลให้กับภาคธุรกิจ ทั้งฝั่งไทยและกัมพูชาเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะการค้าการขายที่อาจจะชะลอ ส่งผลกระทบไปถึงประชาชนทั้ง 2 ประเทศที่ไม่ได้รับความสะดวกสบายในการจับจ่ายใช้สอยเพื่อหาซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค
นอกจากนี้ ยังมีนักธุรกิจไทยเข้าไปลงทุนในกัมพูชาอยู่ในอันดับ 1 ใน 10 ของนักลงทุนต่างชาติที่เข้าไปลงทุน มีทั้ง ธุรกิจค้าปลีก บริการ อสังหาริมทรัพย์ พลังงานอุตสาหกรรมปูนซิเมนต์ โรงพยาบาล โรงแรม และธุรกิจยา เป็นต้น บริษัทยักษ์ใหญ่ของไทยในธุรกิจเหล่านี้ ล้วนเข้าไปลงทุนในกัมพูชาทั้งสิ้น สร้างงาน สร้างรายได้ให้กับคนกัมพูชามหาศาล

ขณะเดียวกัน สินค้าวัตถุดิบสำคัญ เช่น มันสำปะหลัง ในปี2567 ไทยนำเข้าจำนวน 4.5 ล้านตัน และแค่ 5 เดือนแรกปีนี้นำเข้าแล้ว 1.3 ล้านตัน มูลค่า 6,500 ล้านบาท หากยังมีการสู้รบไม่สามารถนำเข้าได้จะส่งผลกระทบกับอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องของไทย เช่น อุตสาหกรรมแป้งมัน เอทานอล และโรงงานอาหารสัตว์ เป็นต้น และยังธุรกิจมีเกี่ยวเนื่องเช่น ธุรกิจขนส่ง พ่อค้าคนกลาง ล้วนได้รับผลกระทบกันถ้วนหน้า
ที่สำคัญ “เศรษฐกิจไทย” ยังได้รับผลกระทบทางอ้อม เมื่อสำนักข่าวต่าง ๆ ในต่างประเทศทั่วโลก เผยแพร่ข่าวการสู้รบออกไปย่อมไม่เป็นผลดีกับไทย จะทำให้คนที่จะคิดว่ามาลงทุน หรือมาทำธุรกิจ รวมถึงมาท่องเที่ยว จะรู้สึกว่าประเทศไทยไม่ปลอดภัย
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การท่องเที่ยวที่เป็นเครื่องจักรสำคัญในการปั๊มรายได้เข้าประเทศจะได้รับผลกระทบอย่างแรง ยิ่งทุกวันนี้การท่องเที่ยวไทยอยู่ในช่วงขาลง ตั้งแต่ช่วงตรุษจีนเป็นต้นมาติดลบมาอย่างต่อเนื่องถึง 15% ทำให้ครึ่งแรกของปี 2568 ติดลบ 4.66% ทั้งหมดนี้เกิดจากมี “ข่าวเชิงลบ” ว่า “มาเที่ยวเมืองไทยไม่ปลอดภัย” ทั้งเรื่องการลักพาตัว และแผ่นดินไหว สถานการณ์การสู้รบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาจะเป็นระเบิดเวลาอีกลูกที่ซ้ำเติมให้การท่องเที่ยวไทยทรุดหนัก ภาพลักษณ์ที่ไม่ดีอยู่แล้วยิ่งสร้างความหวาดกลัวขึ้นไปอีก
อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” แห่งสหรัฐฯ ได้ยื่นคำขาดให้รัฐบาลไทยและกัมพูชาหยุดยิง แล้วหันหน้ามาเจรจากัน หากไม่รีบดำเนินการ “ทรัมป์” ขู่จะไม่เจรจาภาษีการค้า ทั้งไทยและกัมพูชา ล่าสุดในวันที่ 28 ก.ค.68 ทั้ง 2 ประเทศเตรียมเปิดโต๊ะเจรจากันอย่างเป็นทางการที่ประเทศมาเลเซีย ในฐานะที่เป็น “ประธานอาเซียน” โดยฝ่ายไทยจะมี “ภูมิธรรม เวชยชัย” รักษาการนายกฯและรองนายกฯฝ่ายความมั่นคง เป็นหัวหน้าทีม และ “ฮุน มาเนต” นายกรัฐมนตรี เป็นหัวทีมฝ่ายกัมพูชา ระหว่างเขียนต้นฉบับยังไม่มีการรายงานความคืบหน้า แต่เชื่อว่าคงต้องเจรจาอีกหลายยก
นี่แหละที่น่าห่วง เพราะเหลือไม่กี่วัน ก็จะครบกำหนดเส้นตายสหรัฐฯ จะใช้อัตราภาษีใหม่ ถ้าเจรจาไม่สำเร็จก่อนวันที่ 1 สิงหาคมนี้ ทั้งไทยและกัมพูชาก็ต้องแบกภาษีส่งออกไปสหรัฐ 36% คราวนี้จะ “เจ็บทั้งคู่” หากไม่ยอมจบ
…………………………………
คอลัมน์ : เศรษฐศาสตร์ข้างทาง
โดย “ทวี มีเงิน”
สนับสนุนคอลัมน์ โดย : บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน)












