“ดร.เอ้”ชวนรัฐปลี่ยนทัศนคติให้ลองสวมบทบาทเป็นชาวบ้าน หลังภาพความเหลื่อมล้ำ ระหว่าง “รัฐ-ประชาชน”ชัดมาก
เมื่อวันที่ 24 ธ.ค.64 นายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ หรือ ดร.เอ้ ว่าที่ผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.)เมื่อทัศนคติเปลี่ยน อะไรก็ทำได้ วันนี้ ผมไม่มีงานลงพื้นที่ เลยมีเวลาคิด เวลาทบทวน และตามคำสัญญา จะพยายามเขียนเล่า การเดินทางของผมทุกวัน
ทุกค่ำ กลับบ้าน พ่อกับแม่ถาม “เอ้ ลูกทำอะไรบ้าง เห็นอะไรบ้าง?” พอนั่งนิ่งๆ ก็พอตอบได้ว่า “เห็นความเหลื่อมล้ำจริงๆ” ไม่ใช่แค่ ความเหลื่อมล้ำแบบวาทกรรม เรื่องความไม่เท่าเทียม แต่เป็น “ความเหลื่อมล้ำ ทางความคิดระหว่าง รัฐ กับ ประชาชน” ความคิด ที่มาจากพื้นฐานที่แตกต่างกัน คือ รัฐ มีพื้นฐานความคิด ที่ว่า ฉันต้องทำงานที่ได้รับมอบหมายมาให้เสร็จ และเมื่อเสร็จแล้ว มันจะดีกับทุกคน…
ขณะที่ ประชาชน มีพื้นฐานความคิด ที่ว่า ฉันอยู่ของฉัน รัฐมาช่วย แต่ทำไม มาช่วยแล้ว มันไม่ดีขึ้น. ความคิด มันเหลื่อมกัน ก็ไม่ชนกัน ไม่ประสานกัน ผมขอยกตัวอย่าง กทม. หวังดีทำคูระบายน้ำ แก้น้ำท่วม แต่คูระบายน้ำ สร้างบนทางเข้าออกของชาวบ้าน น้ำไม่ท่วม แต่ฉันก็ออกไปทำมาหากินไม่ได้…
รัฐหวังดี จะทำสถานีรถไฟฟ้า เข้ามาในชุมชน เพื่อให้คนเข้าถึงได้ง่ายๆ แต่ต้องเวนคืนบ้านเรือนชาวบ้านเยอะ กว่าจะทะลุไปถึงสถานีนั้น สุดท้ายชาวบ้านต้องย้ายที่ ไม่ได้ใช่สถานีนั้นอยู่ดี…
รัฐหวังดี อยากให้ คนในชุมชนแออัด กลางเมือง มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สะอาด ปลอดภัย เลยไปปลูกตึกให้อยู่อาศัย นอกเมือง ชาวบ้านได้อยู่ตึก แต่อยู่ไกลที่ทำมาหากิน สุดท้ายได้บ้าน แต่ไม่มีงาน… บทเรียนพวกนี้ คิดแบบเป็นธรรม มีตรรกะ มันแก้ไขได้ครับ
รัฐ ทำหน้าที่ ทำดี ปรารถนาดี เป็นสิ่งดี ขอเพิ่มอีกนิด คือ “การคิดให้ครบ” ต้องลอง “เอาใจเขามาใส่ใจเรา” เพราะ คิดไม่ครบ ยังไงก็ไม่จบ
รัฐ ต้องลองสวมบทบาท เป็นชาวบ้าน ดีไหม? คิดเพิ่มอีกนิด ลดการคิดทางเดียว จุดที่เคยเหลื่อมล้ำ มันก็มาบรรจบกันได้ การเดินทางของผม ทำให้ได้คิดว่า เรามาตรงนี้ ไม่ใช่คิดแค่ เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ รับผิดชอบงานให้ดีที่สุด ด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต แต่ต้องคิด มีทัศนคติว่า เราก็ยังเป็น “ชาวบ้านคนหนึ่ง” เป็นลูก เป็นพ่อเป็นแม่ เหมือนกับคนอื่น
เปลี่ยนทัศนคติ เปลี่ยนกรุงเทพ #เราทำได้
เปลี่ยนกรุงเทพ #เราทำได้
