ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.36 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น” หลังดอลลาร์อ่อน ราคาทองคำรีบาวด์ซึ่งสามารถปรับตัวขึ้นเหนือโซน 4,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้อีกครั้ง
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.36 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น” จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.50 บาทต่อดอลลาร์ โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) พลิกกลับมาทยอยแข็งค่าขึ้น หลังจากอ่อนค่าลงทดสอบโซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ในช่วงบ่ายของวันก่อนหน้า (แกว่งตัวในกรอบ 32.32-32.51 บาทต่อดอลลาร์) สอดคล้องกับการทยอยอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ ที่มาพร้อมกับจังหวะการปรับตัวสูงขึ้นของราคาทองคำ (XAUUSD)
ซึ่งสามารถปรับตัวขึ้นเหนือโซน 4,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้อีกครั้ง (ทำให้ในเชิงกลยุทธ์ Trend-Following ราคาทองคำได้กลับเข้าสู่แนวโน้มขาขึ้นอีกครั้ง) ตามการตอบรับของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มภาวะ US Government Shutdown อาจสิ้นสุดลงได้ภายในวันพฤหัสฯนี้ (ตามเวลาประเทศไทย) เปิดทางให้ผู้เล่นในตลาดสามารถทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ และปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดได้อย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ภาวะระมัดระวังตัวของผู้เล่นในตลาดการเงินสหรัฐฯ หลังหุ้นธีม AI/Semiconductor ยังคงเผชิญแรงขายต่อเนื่อง ก็มีส่วนช่วยหนุนราคาทองคำเพิ่มเติม
บรรดาผู้เล่นในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงไม่กล้าเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงเพิ่มเติม แม้ว่าภาวะ US Government Shutdown อาจสิ้นสุดลงได้ภายในเร็ววันนี้ ซึ่งช่วยหนุนบรรยากาศในตลาดการเงินสหรัฐฯ ทว่า แรงขายหุ้นธีม AI/Semiconductor ยังคงมีอยู่ อาทิ Oracle -3.9%, Meta -2.9% ส่งผลให้โดยรวม ดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.06% ส่วนดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ย่อตัวลงต่อเนื่อง -0.26%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง +0.71% หนุนโดยความหวังว่า ภาวะ US Government Shutdown อาจสิ้นสุดลงในเร็ววันนี้ อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นยุโรปก็เผชิญแรงกดดันบ้าง จากการปรับตัวลงของหุ้นกลุ่มพลังงาน อาทิ Shell -1.1% หลังราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงต่อเนื่อง จากรายงานของกลุ่ม OPEC+ ล่าสุดที่ประเมินว่า อุปทานน้ำมันตลาดโลกมีแนวโน้มล้นตลาดเล็กน้อยในปี 2026 จากเดิมที่เคยประเมินไว้ว่า จะเกิดภาวะอุปทานตึงตัวในรายงานครั้งก่อน
ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯย่อตัวลงเล็กน้อย สู่ระดับ 4.07% หลังบรรยากาศในตลาดการเงินสหรัฐฯ อยู่ในภาวะระมัดระวังตัว จากแรงขายหุ้นธีม AI/Semiconductor ที่ยังคงมีอยู่ อย่างไรก็ดี การปรับตัวลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯก็เป็นไปอย่างจำกัด หลังผู้เล่นในตลาดต่างรอลุ้น รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯที่จะทยอยรายงานได้อีกครั้ง หลังภาวะ US Government Shutdown อาจสิ้นสุดลงได้ในเร็ววันนี้
โดยประเมินว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯอาจเคลื่อนไหวผันผวนได้ในช่วงนี้ ตามการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ภาวะตลาดการเงินโดยรวม และประเด็นการพิจารณาคดีมาตรการภาษีนำเข้า อย่างไรก็ตาม หากบอนด์ยีลด์สหรัฐฯสามารถปรับตัวสูงขึ้นต่อได้ เราก็ยังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ (เน้นกลยุทธ์ Buy on Dip) ส่วนผู้ที่มีสถานะลงทุนในบอนด์ระยะยาว ก็สามารถ Let Profits Run ได้
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลง ท่ามกลางความหวังของผู้เล่นในตลาดที่ประเมินว่า ภาวะ US Government Shutdown ของสหรัฐฯอาจสิ้นสุดลงได้ในเร็ววันนี้ เปิดทางไปสู่การทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ซึ่งอาจทำให้ตลาดปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดได้ ขณะเดียวกัน การทยอยแข็งค่าขึ้นของสกุลเงินหลักฝั่งยุโรป อย่างเงินยูโร (EUR) เงินปอนด์อังกฤษ (GBP) ตามการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นยุโรป
ซึ่งดีกว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็มีส่วนกดดันเงินดอลลาร์ เพิ่มเติม ทว่า เงินดอลลาร์ยังพอได้แรงหนุนบ้างจากภาวะระมัดระวังตัวของตลาดการเงินโดยรวม อีกทั้งผู้เล่นในตลาดยังไม่รีบปรับสถานะถือครอง จนกว่าจะรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญจากทางการสหรัฐฯ ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ย่อตัวลงบ้าง สู่โซน 99.5 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 99.4-99.7 จุด)
ส่วนของราคาทองคำ จังหวะการย่อตัวลงบ้างของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯ รวมถึงภาวะระมัดระวังตัวของผู้เล่นในตลาด ได้หนุนให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.2025) สามารถทยอยปรับตัวสูงขึ้นเข้าใกล้โซน 4,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้อีกครั้ง
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB) และเฟด ผ่านถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ของธนาคารกลางหลักดังกล่าว โดยผู้เล่นในตลาดอาจให้ความสนใจกับถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด หลังภาวะ US Government Shutdown อาจสิ้นสุดลงได้ในเร็ววันนี้ เปิดทางไปสู่การรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ
ส่วนในฝั่งไทย ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Consumer Confidence) ในเดือนตุลาคม และในฝั่งอังกฤษ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจอังกฤษ ผ่านรายงานอัตราการเติบโตเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 3 รวมถึงภาวะภาคการผลิต ผ่านรายงานยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production) ในเดือนกันยายน
นอกเหนือจากประเด็นดังกล่าว เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน รวมถึงพัฒนาการของสถานการณ์การเมืองสหรัฐฯ หลังภาวะ Government Shutdown ที่ยืดเยื้ออาจยุติลงได้ในวันนี้ และเริ่มมีการไต่สวนคดีมาตรการภาษีนำเข้าของรัฐบาลสหรัฐฯ โดยศาลสูงสุด (Supreme Court) นอกจากนี้ ควรติดตามสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาที่กลับมาร้อนแรงขึ้นอีกครั้ง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงินไทยในระยะสั้นบ้าง
สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาท เรายังคงประเมินว่า เงินบาทอาจเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways โดยโซนแนวต้านยังคงอยู่แถว 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ขณะที่โซนแนวรับยังอยู่แถว 32.30 บาทต่อดอลลาร์ เนื่องจากผู้เล่นในตลาดจะยังไม่รีบปรับสถานะถือครองที่ชัดเจน หลังภาวะ US Government Shutdown อาจยุติลงได้ภายในวันนี้ (ขณะที่เรากำลังเขียนอยู่นั้น ทางสภาผู้แทนฯของสหรัฐฯ อาจกำลังลงคะแนนโหวตกันอยู่) ทำให้ผู้เล่นในตลาดจะทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญจากทางการสหรัฐฯได้ โดยหลังจากที่หน่วยงานทางการของสหรัฐฯ เริ่มกลับมาทำงานตามปกติ เรามองว่า ภายใน 2 วันอาจจะสามารถทยอยรับรู้ รายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ จากทาง BLS อย่าง ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) เดือนกันยายน ส่วนในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน ก็อาจทยอยรับรู้ ยอดการจ้างงานฯในเดือนตุลาคม ได้ รวมถึงรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญอื่นๆ ทำให้เราขอเน้นย้ำว่า ในช่วงหลังภาวะ US Government Shutdown สิ้นสุดลง ผู้เล่นในตลาดจะเผชิญกับรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯอย่างต่อเนื่อง หรือ Data Bombardment ซึ่งอาจทำให้ตลาดการเงินผันผวนสูงขึ้นได้ไม่ยาก และควรระมัดระวังความผันผวนของตลาดการเงินในช่วงดังกล่าว
อย่างไรก็ดี เรามองว่า ควรจับตาทิศทางราคาทองคำ (XAUUSD) ด้วยเช่นกัน เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมา เงินบาทกลับมาเคลื่อนไหวสอดคล้องกับราคาทองคำมากขึ้นอีกครั้ง ทำให้หากราคาทองคำทยอยปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะในจังหวะที่ตลาดกลับมาเชื่อมั่นว่า เฟดจะสามารถเดินหน้าลดดอกเบี้ยได้เพิ่มเติม อย่างในการประชุมเดือนธันวาคม ก็อาจหนุนให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นต่อได้ไม่ยาก ยิ่งในช่วงนี้ ราคาทองคำได้ปรับตัวขึ้นเหนือโซน 4,150 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทำให้ราคาทองคำกลับสู่แนวโน้มขาขึ้นอีกครั้ง ตามการประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend-Following ซึ่งหากราคาทองคำปรับตัวขึ้นต่อได้ ก็อาจหนุนให้เงินบาทเสี่ยงแข็งค่าขึ้นทะลุโซนแนวรับ 32.30 บาทต่อดอลลาร์ เปิดทางให้เงินบาทอาจสามารถแข็งค่าสู่โซนแนวรับ 32.00-32.15 บาทต่อดอลลาร์ ได้
ทั้งนี้ การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็อาจถูกชะลอลงบ้าง หลังในช่วงนี้ เงินดอลลาร์ยังพอได้แรงหนุนจากภาวะระมัดระวังตัวของตลาดการเงินสหรัฐฯ และการทยอยอ่อนค่าลงของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ที่ล่าสุด ได้อ่อนค่าเกือบทะลุโซน 155 เยนต่อดอลลาร์ นอกจากนี้บรรดาผู้เล่นในตลาดต่างก็รอทยอยเข้าซื้อเงินดอลลาร์อยู่ ทั้งฝั่งผู้นำเข้า และฝั่งผู้เล่นในตลาดพลังงาน ตามการปรับตัวลดลงของราคาพลังงานในช่วงนี้ อีกทั้ง แรงขายสินทรัพย์ไทย อย่างหุ้นไทย จากบรรดานักลงทุนต่างชาติก็ยังมีอยู่ในช่วงระยะสั้น
และเนื่องจาก ความผันผวนของเงินบาทได้กลับมาสูงขึ้นอีกครั้ง ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด รวมถึงบรรดาธนาคารกลางหลักต่างๆ ประเด็นการเมืองสหรัฐฯ ที่ต้องจับตาทั้งสถานการณ์ Government Shutdown และการพิจารณาคดีมาตรการภาษีนำเข้าโดยศาลสูงสุด (Supreme Court) ทำให้เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options หรือพิจารณาใช้สกุลเงินท้องถิ่น (Local Currencies) เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.25-32.50 บาทต่อดอลลาร์






































