“ณัฐพร” เผยหากเศรษฐกิจโตเพียง 2% ต่อปี ไทยอาจเผชิญความเสี่ยงถูกลดอันดับเครดิตภายใน 1–2 ปี ชี้เป้ารัฐต้องมีแผนลดวินัยขาดดุลการคลังเป็นรูปธรรม พร้อมปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ คาดการขาดดุลการคลังอาจยังอยู่สูงกว่า -4%
นางสาวณัฐพร ตรีรัตน์ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เปิดดเผยว่า การที่สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือปรับมุมมองอันดับเครดิตของประเทศไทยจาก “มีเสถียรภาพ” (Stable Outlook) เป็น “เชิงลบ” (Negative Outlook) แม้ยังคงอันดับเครดิตที่ BBB+ สะท้อนความกังวลหลักต่อฐานะการคลังของไทยที่อ่อนแอลงอย่างต่อเนื่องหลังวิกฤตโควิด โดยเฉพาะหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และการขาดดุลการคลังที่ยังสูงต่อเนื่อง รวมถึงแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้า
ทั้งนี้ ในกรณีเศรษฐกิจไทยเติบโตเพียง 2% ต่อไปในระยะข้างหน้า การขาดดุลการคลังอาจยังอยู่สูงกว่า -4% ของ GDP และหนี้สาธารณะมีแนวโน้มแตะกรอบเพดาน 70% ภายในปี 2570 ซึ่งอาจจะกลายเป็นปัจจัยหลักที่นำไปสู่การปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือในช่วง 1–2 ปีข้างหน้า ซึ่งบทเรียนจากต่างประเทศชี้ว่าต้องมีการลดขาดดุลการคลังอย่างเป็นรูปธรรม
โดยกระทรวงการคลังกำลังจัดทำแผนการคลังระยะปานกลาง ซึ่งจะนำเสนอที่ประชุม ครม. 18 พ.ย. นี้ คาดว่าจะเห็นรายละเอียดการปรับลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ เพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่าย เพื่อนำไปสู่การขาดดุลงบประมาณลดลงเหลือต่ำกว่า 3% ในระยะ 4-5 ปีข้างหน้า ซึ่งจะต้องคำนึงถึงปัจจัยทั้งระยะสั้นและระยะยาว ที่ผ่านมาการเพิ่มรายได้ส่วนใหญ่มาจากการจัดเก็บภาษีต่างๆ ซึ่งช่วยจัดเก็บรายได้เพิ่มขึ้นเกือบ 1% แต่เป็นเพียงการประคองเศรษฐกิจในระยะสั้นเท่านั้น แต่ในระยะกลางถึงระยะยาว หากต้องการลดการขาดดุลการคลังอย่างยั่งยืน จําเป็นต้องพึ่งพาการพัฒนาฐานข้อมูลที่มีประสิทธิภาพเพื่อออกแบบนโยบายสวัสดิการอย่างตรงเป้า ควบคู่กับการขยายฐานภาษีและการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ
ขณะที่การวางแนวทางกำกับการดำเนินมาตรการกึ่งการคลังตามมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ หากสามารถกำหนดกรอบการใช้จ่ายได้ ชัดเจนมากขึ้น จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือได้เช่นกัน หากย้อนกลับไปช่วงโควิด-19 กิจกรรมกึ่งการคลังเคยขยายกรอบเพดานไปที่ระดับ 35% แต่เมื่อสถานการณ์กลับสู่ปกติกรอบกิจกรรมการคลังกลับสู่ระดับเดิมที่ 32% ซึ่งขณะนี้อยู่ใกล้ระดับ 30% ซึ่งในระยะข้างหน้าหากมีกรอบการดําเนินมาตรการผ่านกิจกรรมกึ่งการคลังคาดว่า จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้แก่บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือต่างประเทศได้เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม บทเรียนจากต่างประเทศชี้ให้เห็นว่า ประเทศที่สามารถหลีกเลี่ยงการถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือได้ มักมีการดำเนินนโยบายลดขาดดุลอย่างเป็นรูปธรรม เช่น อิตาลี ที่สามารถลดการขาดดุลจาก 8.0% เหลือต่ำกว่า 4.0% ของ GDP ภายในระยะเวลาไม่กี่ปี ผ่านแผนเพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย และปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้จ่ายภาครัฐ ขณะที่ฝรั่งเศสซึ่งถูกปรับลดทั้งมุมมองและอันดับเครดิตจากการขาดดุลการคลังที่เพิ่มขึ้น ต้องเผชิญกับต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้น รวมถึงอันดับความน่าเชื่อถือของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลบางรายถูกปรับลดตาม อย่างไรก็ตาม การปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไม่ได้หมายความว่าอันดับเครดิตของภาคเอกชนจะถูกปรับลดไปด้วย ขึ้นอยู่กับฐานะทางการเงินของแต่ละบริษัท
ส่วนกรณีที่รัฐบาลกำลังพิจารณาการเพิ่มวงเงิน ให้กลุ่มตกหล่นในโครงการคนละครึ่ง พลัส เฟส 2 เป็นคนละ 4,000 บาท นั้น แผนการวินัยการคลังระยะปานกลางที่กระทรวงการคลังกําลังจัดทําจะเริ่มต้นที่ ปี 2570 ซึ่งจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับงบประมาณปี 2569 โดยจะใช้ตามกรอบงบประมาณที่ออกมาแล้ว แต่จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับ ม. 28 เพื่อให้มีวินัยทางการคลังและคุ้มเข้มหนี้สาธารณะมากขึ้น ทั้งนี้ หากไม่เกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน การกู้นอกงบประมาณคงทําได้ยากและรัฐบาลมีเวลาทำงานระยะสั้น
สำหรับกรณีที่ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF คาดว่าในภาพรวมทั้งปี เศรษฐกิจจะขยายตัวชะลอลงเหลือ 2.1% ในปี 2568 และ 1.6% ในปี 2569 ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น สวนทางกับศูนย์วิจัยกสิกรไทย เนื่องจากอาจมีมุมมองที่แตกต่างกันในเบื้องต้น
ทั้งนี้จะมีการปรับประมาณการเศรษฐกิจเข้าหากันอีกครั้ง เนื่องจากช่วงสิ้นปี จะมีข้อมูลและทิศทางเเศรษฐกิจชัดเจนมากยิ่งขึ้น และคาดว่ากรอบการเติบโตทางเศรษฐกิจจะเปลี่ยนไปทิศทางเดียวกัน ที่ระดับ 2% ถึง 2% กว่าๆ ส่วนนโยบายทางการเงินเห็นสอดคล้องกัน ว่าควรอยู่ในทิศทางที่ผ่อนคลาย เพียงแต่จังหวะการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะต้องคํานึงถึงเศรษฐกิจเป็นหลัก ขณะที่การจัดตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) เพื่อแก้หนี้รายย่อยถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการช่วยแก้ปัญหาแก้หนี้ครัวเรือนได้เช่นกัน






































