“ภราดร” เผยรัฐบาลรอข้อสรุปจาก กมธ. ทั้งสองสภาก่อนตัดสินใจยกเลิก MOU ไทย–กัมพูชา พร้อมเดินหน้าจัดเวทีให้ความรู้และดีเบตในพื้นที่เสี่ยง 7 จังหวัด ย้ำต้องเปิดโอกาสประชาชนร่วมรับฟังข้อมูลรอบด้าน ก่อนชี้ทิศทางสุดท้ายของประเทศ
เมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 17 พ.ย. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าการทำประชามติยกเลิกบันทึกความเข้าใจ (MOU) ไทย–กัมพูชา ปี 2543–2544 ว่าจะเดินหน้าควบคู่กับการเลือกตั้ง ส.ส. หรือไม่ โดยระบุว่า นายกรัฐมนตรีได้ย้ำชัดให้รอผลการพิจารณาของคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ทั้งของวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรที่กำลังศึกษาข้อดี–ข้อเสียของการยกเลิก MOU ทั้งสองฉบับก่อน
นายภราดร เปิดเผยว่า เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้ตนประสานงานกับ กมธ. ทั้ง 2 สภา เพื่อให้เป็นเจ้าภาพจัดเวทีให้ความรู้แก่ประชาชน เปิดพื้นที่ให้ทั้งฝ่ายที่สนับสนุนและฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับการยกเลิก MOU ได้ดีเบตอย่างเป็นทางการ โดยเฉพาะใน 7 จังหวัดชายแดนไทย–กัมพูชา ที่ได้รับผลกระทบโดยตรง รวมถึงการจัดเวทีในภาคต่าง ๆ ทั่วประเทศ ซึ่งรัฐบาลพร้อมสนับสนุนทั้งงบประมาณและการประชาสัมพันธ์
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงกระแสวิจารณ์ว่า รัฐบาลกำลัง “ยื้อ” การยกเลิก MOU ทั้งสองฉบับ ทั้งที่คณะรัฐมนตรีมีอำนาจตัดสินใจได้ นายภราดรตอบว่า รัฐบาลหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการ เพื่อให้รับรู้ข้อมูลจากทั้งสองฝ่ายก่อนตัดสินใจว่าจะเลือกทางใด
ส่วนข้อท้วงติงว่า ในอดีตที่รัฐบาลไทยทำ MOU ปี 2543 และ 2544 ประชาชนก็ไม่ได้มีส่วนร่วม นายภราดรชี้แจงว่า เหตุการณ์เกิดขึ้นในยุคนั้น และสถานการณ์ปัจจุบันมีความละเอียดอ่อนมากขึ้น จึงจำเป็นต้องรับฟังความเห็นรอบด้าน
เมื่อถามถึงเหตุผลที่รัฐบาลไม่ใช้อำนาจ ครม. ยกเลิก MOU ทั้งที่นายกรัฐมนตรีเคยแสดงท่าทีไม่เห็นด้วยกับทั้งสองฉบับ นายภราดรกล่าวว่า เรื่องนี้เป็นประเด็นใหญ่ และแม้พรรคภูมิใจไทยจะมีจุดยืนชัดเจนมานาน แต่เมื่อมาอยู่ในรัฐบาล ก็ต้องรับฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่ายในคณะรัฐบาลด้วย
สำหรับข้อกังวลว่ากัมพูชาอาจนำโบราณสถานหลายแห่งที่เป็นข้อพิพาทขึ้นสู่ศาลโลกนั้น นายภราดรระบุว่า ไทยไม่ได้เป็นคู่ความในชั้นศาลโลก ดังนั้นกัมพูชาไม่สามารถนำเรื่องเข้าสู่ศาลโลกฝ่ายเดียวได้



















