“สรวงศ์” เผยปี 69 ตั้งเป้ารายได้ท่องเที่ยว 2.8 ล้านล้านบาท จากต่างชาติ 36 ล้านคน สร้างรายได้ 1.63 ล้านล้านบาท ตลาดในประเทศ 214 ล้านคน สร้างรายได้ 1.17 ล้านบาท ด้านททท.ลุยทำตลาดเชิงรุกจับกลุ่มลูกค้าทุกเซกเมนต์
นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า หลังจากที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือททท.ประชุมหารือกับฝ่ายบริหาร สำนักงานในประเทศ 45 แห่ง และสำนักงานต่างประเทศ 29 แห่ง เพื่อกำหนดนโยบายและทิศทางการตลาดในปีหน้าพบว่า ททท.ตั้งเป้ารายได้ปี 69 ไว้ที่ 2.8 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% จากปี 68 โดยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 36 ล้านคน เพิ่มขึ้น 7% สร้างรายได้ 1.63 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% ส่วนตลาดในประเทศ ตั้งเป้ามีนักท่องเที่ยวชาวไทย 214 ล้านคน เพิ่มขึ้น 5% สร้างรายได้ 1.17 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3%
ทั้งนี้จะนำตัวเลขดังกล่าวประชุมร่วมกับผู้บริหารและบอร์ด ททท. อีกครั้ง ก่อนเสนอต่อที่ประชุมครม. เพื่อออกมาเป็นนโยบายต่อไป เพราะยังมีปัจจัยลบหลายปัจจัยที่กระทบต่อท่องเที่ยวและเศรษฐกิจ ส่วนงบกระตุ้นเศรษฐกิจที่เหลืออยู่ 40,000 ล้านบาทนั้น กระทรวงการท่องเที่ยวฯจะเสนอของบเพื่อจัดทำโครงการใหม่ หลังจากถูกตัดทิ้งไปหลายโครงการ
น.ส.ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยหรือททท.กล่าวว่า ในปีหน้าเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนกระบวนทัศน์การท่องเที่ยวไทยเป็น The New Thailand มุ่งยกระดับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวสู่การให้ความสำคัญเชิงคุณค่าอย่างแท้จริง (Value is the New Volume) ผ่านแนวคิดหลัก Stay Focusผ่านจุดเน้น 4 ประการ ได้แก่ ปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมท่องเที่ยว สู่ การท่องเที่ยวคุณภาพ ปรับสมดุลด้วย การกระจายโอกาสสู่ท้องถิ่น สร้างแรงดึงดูดใหม่ด้วยการออกแบบประสบการณ์ที่ตรงใจนักท่องเที่ยวเฉพาะกลุ่ม และจับมือทุกภาคส่วนมุ่งหน้าสู่ความยั่งยืน ควบคู่กับการเร่งสร้างความเชื่อมั่นประเทศไทย เผยแพร่ Soft Power และจัดการสมดุลส่วนแบ่งตลาดเป็น ตลาดต่างประเทศ 58% ตลาดในประเทศ 42% เพื่อให้ประเทศไทยเป็น 1 ใน 10 ประเทศที่มีรายได้ทางการท่องเที่ยวมากที่สุดในโลก
ทั้งนี้ตลาดต่างประเทศ ททท. มุ่งทำการตลาดเชิงรุก โดยให้ความสำคัญ 2 มิติหลัก ได้แก่ มิติกลุ่มตลาด (Market Segment) ที่มีศักยภาพสูงในการเดินทาง ได้แก่ Millennials, Gen Z, Luxury และ Health & Wellness และมิติกลุ่มพื้นที่ (Market Areas) แบ่งเป็น 3 กลุ่ม เพื่อตอบโจทย์เชิงรายได้อย่างชัดเจน ได้แก่ 1.กลุ่ม Priority ประกอบด้วย กลุ่มตลาดหลัก อาทิ จีน ฮ่องกง จะมุ่งสร้างภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัย
พร้อมขยายสู่เมืองท่องเที่ยวใหม่ กลุ่มตลาดระยะใกล้ ได้แก่ มาเลเซีย เกาหลีใต้ สิงคโปร์ สร้างภาพจำใหม่ ขยายตลาดเซกเมนต์ใหม่ควบคู่กระตุ้นฐานตลาดเดิม กลุ่มตลาดระยะใกล้ที่เติบโตดี ได้แก่ อินเดีย ญี่ปุ่น เน้นเจาะกลุ่ม Quality Leisure และกลุ่มตลาดระยะไกลที่เติบโตดี ได้แก่ รัสเซีย อังกฤษ สหรัฐ ฝรั่งเศส และเยอรมนี มุ่งเจาะกลุ่ม High Value สร้าง New Million Market
2.กลุ่มตลาดขนาดกลาง-เล็ก ได้แก่ ตลาดระยะใกล้ อาทิ ไต้หวัน เวียดนาม อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ กระตุ้นและขยายตลาดใหม่ทั้งในเชิง Segment และพื้นที่ ตลาดระยะไกล อาทิ ออสเตรเลีย สแกนดิเนเวีย อิตาลี สเปน เร่งสร้างภาพไทยในฐานะ “Green Destination” และ Long Stay Paradise
3.กลุ่ม High Value Market ตลาดตะวันออกกลางศักยภาพสูง นำเสนอ Premium Leisure และ Health & Wellness พร้อมรักษาการเติบโตของอิสราเอล รวมถึงทำ Airline Focus เพิ่มที่นั่งและความถี่เที่ยวบิน
ด้านตลาดในประเทศไทยเที่ยวไทย ยังคงเป็นหัวใจสำคัญที่จะช่วยสร้างเศรษฐกิจฐานรากที่แข็งแกร่ง และนำสู่การท่องเที่ยวยั่งยืน ททท.วางกลยุทธ์การตลาดเชิงพื้นที่ ผสมผสานการออกแบบสินค้าและบริการเชิงประสบการณ์ เพื่อตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายศักยภาพ Millennials, High End/ Ultra Wealth และ Multi-Generation Family โดยเน้นกิจกรรม Exclusive Experience ในจังหวัดท่องเที่ยวหลัก กระตุ้นความถี่ในกลุ่มจังหวัดเมืองหลัก-น่าเที่ยว ให้เกิดการเดินทางตลอดทั้งปี ด้วยการเจาะตลาด Health and Wellness และส่งเสริมให้เกิดการท่องเที่ยวข้ามภาคด้วยสินค้าบริการที่นำเสนอเสน่ห์ไทยและเพิ่มอีเวนต์มาร์เก็ตติ้ง
ขณะเดียวกัน ส่งเสริมเมืองน่าเที่ยวด้วยสินค้าและบริการตามอัตลักษณ์พื้นที่ โดยมีไฮไลต์ตามภูมิภาค และร่วมกับกระทรวงวัฒนธรรม องค์การบริหารพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (อพท.) ส่งเสริมเมืองสร้างสรรค์ ของ UNESCO 3 จังหวัด ได้แก่ สุโขทัย เพชรบุรี และสุพรรณบุรี เป็นต้น.





































