งวดเข้ามาเรื่อยๆ “ศาลฎีกานักการเมือง” ไต่สวนพยานบังคับโทษ “ทักษิณ” ซัก “อดีตนายแพทย์ใหญ่-นายแพทย์ใหญ่-แพทย์ที่รับตัว” ปมรักษาชั้น 14 รพ.ตำรวจ เป็นไปตามระเบียบหรือไม่ “หมอที่รับตัว” ถึงกับปาดน้ำตา ไม่คิดว่าจะต้องมาขึ้นศาล ยอมรับบางอาการไม่วิกฤต สามารถกลับได้
เมื่อวันที่ 18 ก.ค.68 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดไต่สวนคดีหมายเลขดำที่ บค.1/2568 โดยอัยการสูงสุด (อสส.) และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นโจทก์ ส่วนจำเลยคือนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ถือเป็นนัดที่ 5 ในการไต่สวนการบังคับโทษนายทักษิณ โดยพยานที่เข้าเบิกความในวันนี้มี 6 ปาก เป็นกลุ่มผู้อำนวยการโรงพยาบาลตำรวจ และทีมแพทย์ผู้ทำการรักษานายทักษิณ นับแต่วันที่ 23 ส.ค.66 จนได้รับการพักโทษเมื่อวันที่ 17 ก.พ.67 ประกอบด้วย
-พล.ต.ท.นพ.โสภณรัตน์ สิงหจารุ อดีตนายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ
-พล.ต.ท.นพ.ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ แพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ
-นพ.ศุภฤกษ์ พัฒนปรีชากุล แพทย์สาขาโรคหัวใจ
-นพ.สุรพล เกษประยูร แพทย์ศัลยกรรมกระดูกและข้อ
-พล.ต.ต.นพ.สามารถ ม่วงศิริ แพทย์เจ้าของไข้
-พ.ต.อ.นพ.ชนะ จงโชคดี แพทย์ที่รับตัวนายทักษิณเมื่อวันที่ 23 ส.ค.66
ในช่วงเช้าศาลฯไต่สวนพยาน 3 ปาก พยานปากแรกคือ พล.ต.ท.นพ.โสภณรัตน์ สิงหจารุ ผู้ช่วย ผบ.ตร. และอดีตนายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ ในช่วงเวลาที่มีการรับตัวนายทักษิณ เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจ เข้าเบิกความต่อศาล ในประเด็นการรับนายทักษิณเป็นคนไข้ สู่กระบวนการรักษาเป็นไปตามระเบียบการรับผู้ป่วยของโรงพยาบาลหรือไม่
โดยเฉพาะการให้ไปอยู่ในห้องพักชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งระบุว่าเป็นห้องแยกการรักษา ในช่วงที่มีสถานการณ์โควิด-19 แต่พยานปากนี้ ไม่ได้มีส่วนร่วมในการรักษา เพียงแต่รับทราบจากการรายงานของแพทย์ที่รับตัว ทั้งนี้ศาลฯได้ย้ำถามว่า “มีนักโทษรายอื่นจากเรือนจำ ได้ไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจชั้น 14 อีกหรือไม่” ซึ่งพยานยังไม่สามารถให้ข้อมูลได้ แต่จะส่งภายหลัง และยังไต่สวนในประเด็นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ “ใบเสร็จรับเงิน” ที่สืบเนื่องไปถึงค่าใช้จ่ายในการรักษา ทั้งยารักษาโรค ห้องพักผู้ป่วย ที่พบว่า จากใบเสร็จ 27 ใบ มีข้อมูลเกี่ยวกับยารักษาโรคเพียง 9 ใบ ที่เหลือเป็นใบเสร็จเกี่ยวกับค่ายาและสารอาหารทางเส้นเลือดและค่าห้องพัก

จากนั้น พล.ต.ท.นพ.ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ แพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ ที่เข้ารับตำแหน่งในช่วงกลางเดือนต.ค.66 เป็นช่วงเวลาคาบเกี่ยวกับในช่วงที่นายทักษิณ ไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งเวลานั้นเป็นนายแพทย์ สบ.8 โดยประเด็นการไต่สวนเดียวกันกับปากแรก ซึ่งพยานปากนี้เบิกความต่อศาลในประเด็นห้องพักรักษาของนายทักษิณ เป็นห้องพิเศษ ซึ่งเป็นการเบิกความขัดกันกับพยานก่อนหน้านี้ ที่ให้ข้อมูลต่อศาล รวมถึงประเด็นการรักษาว่า กรณีนายทักษิณ เป็น “ผู้ป่วยเข้าขั้นวิกฤต” ส่งตัวมาจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร แต่เมื่อมาถึงโรงพยาบาล ไม่ได้ไปห้องฉุกเฉิน หรือห้องไอซียู แต่ส่งตัวไปชั้น 14 เนื่องจากมีการประสานส่งตัวไว้
จากนั้นมีการไต่สวนในประเด็น “อาการป่วย” ของนายทักษิณ ที่แพทย์จากเรือนจำได้ส่งประวัติมารักษา แต่ในข้อเท็จจริง การรักษาอ้างอิงจากโรคที่ระบุมานั้น ไม่มีการผ่าตัดกระดูกคอทับเส้นประสาท หรือโรคที่อ้างอิงตามใบแจ้งจากแพทย์เรือนจำ แม้ว่าแพทย์คนนี้จะทำแผนการรักษาด้วยการผ่าตัดกระดูกคอ แต่สุดท้ายไม่ได้มีการผ่าตัด เนื่องจาก “ผู้ป่วย” ปฏิเสธการรักษาด้วยการผ่าตัด แต่ทั้งนี้มีการผ่าตัดในอาการอื่น โดยเป็นอาการที่เกิดขึ้นระหว่างที่มารักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ คือ “การผ่าตัดนิ้วล็อก” และ “การผ่าตัดเส้นเอ็นไหล่ฉีก” ซึ่งข้อมูลการผ่าตัดนิ้วล็อกนั้น แพทย์เบิกความย้อนแย้งกัน ระหว่าง “แพทย์ที่อ้างอิงอาการจากเรือนจำพิเศษ” กับ “แพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ”
สำหรับพยานเบิกความปากที่ 3 คือ พ.ต.อ.นพ.ชนะ จงโชคดี ซึ่งเป็นแพทย์ประจำโรงพยาบาลตำรวจ ที่รับตัวนายทักษิณเข้ารักษาเมื่อวันที่ 23 ส.ค.66 โดยพยานปากนี้ ศาลใช้เวลาไต่สวน 1 ชั่วโมงครึ่ง ศาลได้ซักรายละเอียดเกี่ยวกับเหตุการณ์รับตัวนายทักษิณ เข้ารับการรักษา รวมไปถึงกระบวนการรักษา โดยถามรายละเอียดเกี่ยวกับ “บันทึกการรักษา” ตั้งแต่รับตัวนายทักษิณ ไปจนถึงวันที่นายทักษิณออกจากโรงพยาบาล ที่ให้ พ.ต.อ.นพ.ชนะ ไล่อ่านบันทึกการรักษา ที่พบว่า “บางอาการไม่ได้มีบันทึกไว้ ถือว่ายังเข้าขั้นป่วยวิกฤตและสามารถกลับได้หรือไม่” ซึ่ง พ.ต.อ.นพ.ชนะ ได้ให้ความเห็นว่า บางอาการถือว่าไม่วิกฤตและสามารถกลับได้ นอกจากนี้ยังสอบถามถึงการใช้ยา รักษาอาการป่วย ที่ไม่ระบุอยู่ในใบเสร็จค่ารักษา
ทั้งนี้ศาลยังได้ถามถึงการเขียนใบให้ความเห็นแพทย์ เรื่องการขยายเวลารักษาตัว 120 วัน รวมถึงสอบถามในประเด็นที่ว่า มีเจ้าหน้าที่จากราชทัณฑ์ได้ประสาน สอบถามอาการ ของผู้ป่วยหรือไม่ ซึ่ง พ.ต.อ.นพ.ชนะ บอกว่า ไม่เคยมีใครสอบถามมา
นอกจากนี้ศาลยังสอบถามถึง “ผู้คุม” ว่า ได้ปฏิบัติการอยู่ตลอดหรือไม่ พ.ต.อ.นพ.ชนะ ระบุว่า “พบผู้คุมทั้งในห้องและหน้าห้อง โดยก่อนเข้าตรวจ จะต้องถูกเก็บโทรศัพท์ไว้ ขณะที่เวลาเข้าตรวจนายทักษิณ บางครั้งจะนอนอยู่บนเตียงคนไข้ และบางครั้งจะนั่งอยู่บริเวณโซฟา”
ศาลถามถึงการคำนึงข้อกฎหมาย และความรับผิดชอบรับผิดชอบในการดูแลผู้ป่วยหรือไม่ ซึ่ง พ.ต.อ.นพ.ชนะ ตอบใจความว่า “คิดแค่ว่าเป็นหมอ จะแค่รักษาผู้ป่วย ไม่คิดว่าจะต้องมาขึ้นศาล” ก่อนจะใช้มือปาดน้ำตา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลอดการเบิกความของพยานปากนี้ เจ้าตัวมีท่าทีกังวลอย่างเห็นได้ชัด ตั้งแต่เข้าไปในห้องพิจารณาคดีบริเวณคอก มีการขอกระดาษปากกาเพื่อจดคำถาม บางช่วงบางตอนระหว่างที่ศาลกำลังซัก พยานปากนี้ยังยกมือพนมไหว้ขอโทษศาลตลอดเวลาที่ตอบคำถาม
ทั้งนี้ศาลได้ขอให้พยานส่งหลักฐานเอกสารเพิ่มเติม 2 เรื่อง 1.ข้อมูลเกี่ยวกับนักโทษที่เข้ารักษาตัวที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ และ 2.เอกสารออร์เดอร์ดอกเตอร์ชีท หรือบันทึกการรักษาของแพทย์.





































