‘’ดร.พิชาย’’มองโครงสร้างการเมืองแบบบ้านใหญ่สร้างนายก แต่นายกไร้ความสามารถสร้างวิกฤต สร้างความตาย และความตายถึงเวลาต้องสร้างโครงสร้างใหม่และคัดเลือกคนใหม่ เพราะโศกนาฏกรรมจะไม่ใช่ครั้งสุดท้าย
เมื่อวันที่ 1 ธ.ค.68 ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต อดีตคณบดี อาจารย์ประจำหลักสูตรการเมืองและยุทธศาสตร์การพัฒนา โพสต์เฟซบุ๊กว่า โศกนาฏกรรมที่เขียนด้วยหมึกของการเมืองแบบบ้านใหญ่ที่เน่าเปื่อย ในสังคมการเมืองไทย เรามักเชื่อว่า บุคคล คือผู้กำหนดชะตาของรัฐชาติ หากผู้นำดี ประเทศก็รุ่ง หากผู้นำไร้ความสามารถ ประเทศก็พัง แต่โศกนาฏกรรมระดับเมือง อย่างวิกฤตน้ำท่วมหาดใหญ่ กำลังสอนเราว่า ความพินาศของรัฐไทยไม่ใช่เพียงผลผลิตของผู้นำคนหนึ่ง
หากเป็นผลคูณระหว่าง โครงสร้างที่เน่าเปื่อย และ บุคคลที่ไม่มีสมรรถนะ ซึ่งถูกคัดเลือกมาด้วยหลักตรรกะของระบบที่บูชาความภักดีเหนือความรู้
ความเชื่อฟังเหนือความสามารถและผลประโยชน์เหนือสวัสดิภาพของประชาชน
โครงสร้างเป็นพิษ ผู้นำไร้ปัญญา สังคมจึงรับเคราะห์ นี่คือสูตรของโศกนาฏกรรมทางการเมืองไทยยุคใหม่
โศกนาฏกรรมที่ไม่ได้เกิดจากภัยธรรมชาติแต่เกิดจาก ภัยเชิงสถาบันที่เราสร้างขึ้นเอง
การเมืองแบบบ้านใหญ่ไม่ใช่เพียงเครือข่ายอุปถัมภ์ แต่มันคือเครื่องจักรทางการเมืองที่เดินด้วยพลังของ
เงิน – อิทธิพล – ความภักดี – การตอบแทนกันในเครือข่าย มันไม่ต้องการความรู้ ไม่ต้องการนโยบาย ไม่ต้องการสมรรถนะเชิงบริหาร
สิ่งที่ระบบนี้ต้องการคือ “คนที่เชื่อฟัง” เพราะ “ความเชื่อฟัง” คือสกุลเงินของอำนาจแบบบ้านใหญ่ เมื่อระบบต้องการความเชื่อฟังมากกว่าความสามารถ ก็เป็นธรรมชาติที่มันจะคัดเลือก ผู้นำที่ “เชื่อฟังได้” แต่ “บริหารไม่ได้”
เราจึงได้ผู้นำที่ขึ้นสู่อำนาจเหมือนบัณฑิตรับปริญญาไม่ได้เพราะสอบเก่ง แต่เพราะอยู่ถูกวง อยู่ถูกเครือข่าย เข้าใจพิธีกรรมแห่งอำนาจ และให้คำมั่นว่าจะไม่ท้าทายผู้มีอำนาจตัวจริง
บ้านใหญ่จึงไม่ใช่แค่โครงสร้างอุปถัมภ์ แต่คือ สายพานผลิตนายกรัฐมนตรีที่ไม่พร้อมสำหรับการบริหารรัฐสมัยใหม่
เมื่อผู้นำถูกคัดเลือกด้วยตรรกะผิด เราจึงไม่แปลกใจที่ “ผลผลิต” จะผิดเพี้ยน
นายกรัฐมนตรีในโครงสร้างนี้ ไม่มีทักษะในการใช้ข้อมูลเชิงประจักษ์ในการตัดสินใจ และไม่ฟังเสียงผู้เชี่ยวชาญ
เขาเชื่อเพียงสิ่งที่คนในเครือข่ายบอก รายงานที่ถูกแต่งหน้า ข้อมูลที่ถูกปรุงกลิ่น และคำปลอบโยนว่า “ทุกอย่างควบคุมได้” นี่คือภาวะผู้นำแบบ Blind Governance
รัฐถูกขับเคลื่อนโดยคนที่ขับรถแต่ไม่รู้ว่าไฟหน้าไม่ติดมองถนนไม่เห็น แต่เชื่อศรัทธาว่าทุกอย่างจะไปได้ดี
วิกฤตครั้งนี้ไม่ได้เกิดเพราะผู้นำไม่ “ตั้งใจฟัง” แต่เพราะผู้นำกำลังฟัง “ไม่ถูกคน”
การเมืองแบบบ้านใหญ่สร้างสภาวะที่ความจริงไม่เคยเดินทางถึงผู้มีอำนาจ ข้อมูลที่ถูกส่งขึ้นไป ถูกกรองหลายชั้น
กรองด้วยผลประโยชน์ กรองด้วยความกลัว กรองด้วยความต้องการเอาใจนาย
เสียงของผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ คนที่รู้จริงกลับไม่มีที่ยืน
เพราะเสียงจริงมักขัดใจผู้มีอำนาจและอำนาจแบบบ้านใหญ่ไม่เคยชอบความจริง
ผลคือคำสั่งจำนวนมากผิดบริบท
การประเมินสถานการณ์ “เบากว่าความเป็นจริง” และการตัดสินใจทางนโยบายเกิดขึ้นจากห้องปรับอากาศ ไม่ใช่ริมคลองที่น้ำกำลังไหลเชี่ยว น้ำท่วมอาจเป็นภัยธรรมชาติ แต่ความสูญเสียครั้งนี้เป็น ภัยทางการเมือง (Political Disaster)
เมื่อโครงสร้างคัดเลือกผู้นำผิดเมื่อผู้นำเชื่อเครือข่ายมากกว่าผู้เชี่ยวชาญ
เมื่อข้อมูลถูกปรุงเมื่อภาพลักษณ์ถูกให้ค่ามากกว่าชีวิตประชาชน
เมื่อคำสั่งผิดพลาดกลายเป็นบรรทัดฐาน น้ำท่วมจึงไม่ใช่ “อุบัติเหตุทางธรรมชาติ” แต่เป็น อุบัติเหตุทางรัฐศาสตร์
อุบัติเหตุที่เปิดเผยโครงสร้างอำนาจไทยอย่างเปลือยเปล่า
เหมือนแผลสดที่ถูกเปิดโดยความจริงอันโหดร้าย
บ้านใหญ่สร้างนายก นายกไร้ความสามารถสร้างวิกฤต วิกฤตสร้างความตาย และความตายก็ย้อนมาบอกสังคมว่า
เราจำเป็นต้องสร้างโครงสร้างใหม่และคัดเลือกคนใหม่ มิฉะนั้นโศกนาฏกรรมจะไม่ใช่ครั้งสุดท้าย เพราะประเทศที่บริหารด้วยความภักดี จะไม่เคยรอดจากภัยใหญ่ใดๆ และจะล้มลงครั้งแล้วครั้งเล่า ในพายุของโลกสมัยใหม่ที่ไม่เคยปรานีใคร






































