นายกฯมอบนโยบายจัดทำงบประมาณปี 2570 ชี้ปีนี้ประเทศไทยเผชิญ “4 ภัย” ทั้งเศรษฐกิจ สังคมมั่นคง สังคมสูงวัย และภัยธรรมชาติ รัฐต้องใช้งบทุกบาทอย่างมีวินัย โปร่งใส และคุ้มค่าสูงสุด พร้อมขอความร่วมมือส่วนราชการเลือกจัดงาน–สัมมนาในจังหวัดประสบภัย เพื่อพยุงรายได้ท้องถิ่นและฟื้นฟูเศรษฐกิจ ขณะที่ตั้งเป้าลดการขาดดุลไม่เกิน 3% ของ GDP ภายในปี 2572 ยันรัฐบาลจะยืนเคียงข้างประชาชนทุกก้าว.
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 1 ธ.ค. ที่ห้องรอยัล จูบิลี่ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย เป็นประธานในงานมอบนโยบายการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2570 โดยมีคณะรัฐมนตรี (ครม.) ผู้บัญชาการเหล่าทัพ ปลัดกระทรวง และหัวหน้าส่วนราชการ เข้าร่วม
นายอนุทิน กล่าวมอบนโยบายว่า รัฐบาลได้กำหนดนโยบายการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2570 โดยยึดแนวทางจากแผนการคลังระยะปานกลาง ซึ่งอยู่ในช่วงปี 2570-2573 ปีนี้แม้จะเป็นงบประมาณที่ถูกจัดทำแบบขาดดุล แต่รัฐบาลก็ตั้งใจที่จะลดการขาดทุนอย่างต่อเนื่อง เพื่อไม่ให้เป็นภาระงบประมาณในอนาคตและรักษาสัดส่วนหนี้สาธารณะให้อยู่ในกรอบที่เหมาะสม โดยอยู่บนหลักการรักษาวินัยการเงินการคลังรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ ปีงบประมาณ 2570 เป็นปีที่ประเทศไทยเจอกับความท้าทายทุกด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคมสูงวัย สังคมเหลื่อมล้ำ ผลกระทบสภาพภูมิอากาศที่แปรปรวน ที่ต้องใช้งบประมาณอันมหาศาลในการปรับตัวป้องกันภัยพิบัติและเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ ดังนั้นงบประมาณปี 2570 เราจะต้องตอบโจทย์ได้ครบ
นายอนุทิน กล่าวว่า และอย่างที่ทุกท่านทราบกันดีตนได้ใช้เวลาในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมาลงพื้นที่ต่างจังหวัดหลายครั้ง เพื่อหาความช่วยเหลือให้กับประชาชนในจังหวัดที่ประสบภัยพิบัติต่างๆ จะเห็นได้จากปัญหานี้ประชาชนเผชิญกับภัยพิบัติน้ำท่วมอย่างหนัก ทั้งเรื่องการเยียวยา ตนจะขอให้หน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องดำเนินการโดยด่วนที่สุด เพื่อให้เกิดความครอบคลุมและทั่วถึง ลดขั้นตอนต่างๆ เพื่อให้ความช่วยเหลือหรืองบประมาณต่างๆนโยบายต่างๆไปถึงมือประชาชนผู้ประสบความเดือดร้อนให้เร็วที่สุด หากหน่วยงานใดทั้งภาครัฐและเอกชน ซึ่งต้องขอความร่วมมือให้ทุกท่านได้พิจารณา หากจะมีการจัดประชุม งาน Event สัมมนา อบรม ปฐมนิเทศ ต่างๆในช่วงนี้ซึ่งเป็นช่วงท้ายๆของปี อยากขอให้เลือกจังหวัดที่เกิดภัยพิบัติเหล่านี้ เพื่อให้เม็ดเงินไหลเวียนเข้าสู่พื้นที่มากที่สุด เช่น อำเภอหาดใหญ่ ซึ่งจริงๆเขาเตรียมพร้อมที่จะรับนักท่องเที่ยว นักกีฬาซีเกมส์ ที่กำลังจะเปิดภายในสัปดาห์นี้ เมื่อเกิดเหตุอุทกภัยโรงแรมต่างๆที่เตรียมรีโนเวทเรียบร้อยแผนการต่างๆ ต้องพับไป เพราะสภาพพื้นที่ไม่อำนวยให้มีการจัดกีฬาที่นั่น ซึ่งทำให้การลงไปของนักท่องเที่ยว กองเชียร์ ผู้สนใจด้านกีฬา ต้องยกเลิกการสำรองห้องพักต่างๆ จึงทำให้เกิดความเสียหายตามมาอีกมากมาย
นายกฯ กล่าวต่อว่า ขอถือโอกาสนี้ฝากทุกท่านในที่นี้ โดยเฉพาะที่นั่งอยู่แถวหน้าซึ่งเป็นหัวหน้าส่วนราชการ ตนไม่ได้ตัดงบประมาณในการไปประชุมหรือดูงานสัมมนาภายในประเทศ แต่ขอให้เลือกไปช่วยเหลือจังหวัดที่โชคไม่ค่อยดีเหมือนจังหวัดอื่นๆ และประสบภัยพิบัติต่างๆเหล่านี้ เพื่อเป็นการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ช่วยให้เขามีรายได้และในที่สุดสิ่งเหล่านี้จะช่วยให้โอกาสวิถีชีวิตที่ดีขึ้นกับพี่น้องประชาชนผู้เคราะห์ร้าย ผู้ประสบภัย เพราะจะได้มีเม็ดเงินไหลเวียนในพื้นที่ให้มากที่สุด จึงขอความเมตตาให้ช่วยพิจารณาในเรื่องนี้ เพื่อพี่น้องเพื่อนร่วมชาติของเราที่มีความเคราะห์ร้ายเจอภัยธรรมชาติ เราต้องเข้าไปเยียวยาพวกเขาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้”นายกฯ กล่าว
“นโยบายที่ได้แถลงมานี้ ปีนี้อาจจะต้องมีการมุ่งเน้นในเรื่องของการแก้ปัญหา 4 ภัย ที่ตนได้กล่าวเมื่อสักครู่ ผมอยากจะนำสกุลหลีกภัย แต่กลายเป็นนามสกุลเจอภัย เจอเข้าไป 4 ภัย คือภัยเศรษฐกิจ ความมั่นคง ภัยสังคม และภัยธรรมชาติ ในช่วง 1 ปีนี้ มีรัฐบาลก่อนหน้านี้ดูแลมาจนถึงเดือนส.ค.ทั้งนี้ตั้งแต่เดือนก.ย.มาจนถึงปัจจุบัน เราพบภัยเศรษฐกิจ ซึ่งเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก เราถึงต้องเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งกระทรวงการคลังและกระทรวงพาณิชย์ได้ช่วยกันทำให้มีการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น ซึ่งทุกท่านคงรู้สึกได้ว่าพี่น้องประชาชนมีความพึงพอใจเชื่อมั่นและเราจะยังทำต่อไป และจะต้องทำเฟส 2 ให้ได้เพื่อให้พี่น้องประชาชนมีขวัญกำลังใจ มีความมุ่งมั่น และเชื่อมั่นว่าชีวิตของพวกเขารัฐบาลจะดูแลและเขาจะต้องเดินต่อไป รัฐบาลจะต้องอยู่เคียงข้างเขา พวกเราทุกคนต้องอยู่เคียงข้างเขาในการที่จะนำพาให้ผ่านพ้นภัยเศรษฐกิจ ชื่อของมันเป็นภัย แต่มันเป็นทุกข์แสนสาหัสของพี่น้องประชาชน เราเป็นข้าราชการ เราบริหารราชการแผ่นดิน คือความผาสุขของพี่น้องประชาชน สิ่งเหล่านี้เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ จะต้องนำพี่น้องประชาชนเดินพ้นจากภัยเศรษฐกิจโดยเร็วที่สุดและเดินไปด้วยกัน”นายอนุทิน กล่าว
นายกฯ กล่าวด้วยว่า ส่วนเรื่องการบริหารจัดการภัยพิบัติจากธรรมชาติ มีกฎหมายหลายๆอย่างต้องเร่งแก้ไข เรามีนโยบายป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย แต่คำว่าป้องกันไม่ใช่ซื้ออุปกรณ์อย่างเดียว กฎหมายในวันนี้จังหวัดไม่สามารถประกาศเป็นพื้นที่ประสบภัยได้จนกว่าจะเกิดเหตุ อันนี้ไม่ใช่ป้องกัน ทางรัฐบาลจะต้องไปเร่งแก้ปัญหา อาจจะต้องเปลี่ยนกฎเกณฑ์หรือกฎระเบียบต่างๆที่จะทำให้ผู้ว่าราชการจังหวัดแต่ละจังหวัดที่ได้รับสัญญาณต่างๆของพื้นที่ สุดท้ายนี้เนื่องจากสถานการณ์ภาคการคลังของประเทศไทยส่งสัญญาณเตือนหลายด้าน ได้สัดส่วนของรัฐบาล GDP มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง จากร้อยละ 17 ในปี 2536 เหลือร้อยละ 15 โดยประมาณในปีนี้ ขณะที่สัดส่วนรายจ่ายรัฐบาลต่อ GDP มีแนวโน้มสูงขึ้นเป็นลำดับ โดยมีรายจ่ายร้อยละ 70-80 ของภาคใช้จ่ายรัฐบาล ดังนั้นรัฐบาลจึงมุ่งเน้นฟื้นฟูสภาพการคลังประเทศ โดยคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแผนการคลังระยะปานกลาง ช่วงปี 2570 – 2573 กำหนดเป้าหมายที่จะปรับลดการขาดดุลงบประมาณไม่เกินร้อยละ 3 ของ GDP ภายในปีงบประมาณ 2572 และครอบคลุมสัดส่วนที่หนี้สาธารณะให้ไม่เกินร้อยละ 70 ต่อ GDP จึงขอให้เพื่อนข้าราชการทุกท่านทุกฝ่ายช่วยกันใช้หรือบริหารการจ่ายงบประมาณให้มีประสิทธิภาพสูงที่สุด เพื่อไม่ให้ประเทศไทยของเราต้องเจอวิกฤตการณ์ด้านการเงินการคลังในอนาคต
นายกฯ กล่าวอีกว่า ทั้งนี้งบประมาณรายจ่ายปี 2570 กำหนดกรอบวงเงินงบประมาณไว้ที่ 3.788 ล้านล้านบาท ต้องไม่เพิ่มรายจ่ายประจำที่เป็นภาระงบประมาณในระยะยาวด้วย ข้อจำกัดของวงเงินงบประมาณรัฐบาลขอความร่วมมือจากทุกท่าน ให้ร่วมกันปรับเปลี่ยนการทำงานของภาครัฐให้มีประสิทธิภาพสูงสุดในทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดการใช้งบประมาณพูดซ้ำแล้วซ้ำอีกต้องมีความโปร่งใส ต้องเกิดประโยชน์สูงสุดของประชาชน ซึ่งอยากจะขอเติมคำว่าต้องมีความคุ้มค่า เมื่อใช้แล้วจะต้องตอบสนองกลับมาด้วยประโยชน์ของทุกๆด้าน ขอเน้นย้ำอีกครั้งเนื่องจากรายจ่ายประจำเพิ่มขึ้นสูงมาก จึงขอให้เข้มงวดรายจ่ายประจำ โดยให้ขอเฉพาะเท่าที่จำเป็นจริงๆเท่านั้น ต้องช่วยกันเพิ่มประสิทธิภาพจะได้มีเม็ดเงินลงทุนมากขึ้น หรือสำหรับโครงการที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานที่คาดว่าจะมีรายได้จากการดำเนินโครงการในอนาคต
นายกฯ กล่าวด้วยว่า สุดท้ายนี้ตนยังให้ความเชื่อมั่นกับพวกท่าน รัฐบาลจะยึดหลักการทำงานที่จะดำรงไว้ ซึ่งการพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ยึดมั่นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข และยึดมั่นในหลักนิติธรรม การบังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรม และการบริหารราชการแผ่นดินบนหลักของคำว่าธรรมาภิบาล ตนมั่นใจว่าพวกเราทุกคนรักชาติรักแผ่นดินไม่มีใครน้อยไปกว่าใคร ฉะนั้นเราไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการร่วมมือด้วยกันเพื่อทำภารกิจที่ได้กล่าวเรียนมานี้สำเร็จลุล่วง ช่วยขับเคลื่อนประเทศของเราให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไป พวกเราอยู่กับประชาชนเสมอและพวกเราจะต้องมีความสามัคคีในการทำงานเพื่อรับใช้ประเทศชาติและประชาชนด้วยทุกองค์กรที่มีตนมั่นใจแค่นั้นและหวังว่าจะได้รับความร่วมมือด้วยดีเช่นเคย.






































