“…..รัฐบาลไทย ได้ประกาศยกระดับการปราบปรามอาชญากรรมไซเบอร์ และขบวนการฟอกเงินเป็นวาระแห่งชาติ และจะใช้มาตรการเชิงรุกที่เข้มข้นยิ่งขึ้น…”
@@@……สวัสดีท่านผู้อ่านทุกท่าน พบกันทุกวันเสาร์กับคอลัมน์ “Military Key” ทางเว็บไซต์ https:// thekey.news ซึ่งตรงกับวันเสาร์ที่ 6 ธ.ค.68 สัปดาห์ที่ผ่านมา สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) แถลงข่าวยึดอายัดทรัพย์ขบวนการสแกมเมอร์ที่มีลักษณะเป็นองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ โดยผู้ต้องหาสำคัญที่ถูกยึดอายัดทรัพย์ เช่น นายเฉิน จื้อ ซึ่งก่อนหน้านี้สหรัฐฯ ฟ้องยึดทรัพย์ในรูปแบบบิทคอยน์ไปแล้วกว่า 400,000 ล้านบาท และร่วมมือกับสหราชอาณาจักรคว่ำบาตรบุคคลในบริษัทฯ รวม 146 เป้าหมายที่เชื่อมโยงกับเครือข่ายปรินซ์ กรุ๊ป ส่วนการยึดทรัพย์ของ ปปง.มีคำสั่งยึดทรัพย์ 373 ล้านบาท และรวมถึงยึดอายัดทรัพย์ที่เป็นที่ดิน เงินสด สินค้าแบรนด์เนม ครั้งล่าสุดนี้ ซึ่งรวมมูลค่ากว่า 10,165 ล้านบาท โดยมีผู้ต้องหาสำคัญหลายรายที่เกี่ยวข้อง และการดำเนินการครั้งนี้ ครอบคลุมคดีสำคัญ 4 คดี ได้แก่
@@@……นายเฉิน จื้อ Chen Zhi กับพวก : เกี่ยวข้องกับไฮบริดสแกม และฟอกเงินคริปโทเคอร์เรนซี มีการยึดทรัพย์สินหลายรายการ มูลค่ารวมประมาณ 373 ล้านบาท, นายก๊ก อาน Kok An กับพวก : เจ้าของสถานที่ซึ่งใช้เป็นศูนย์ปฏิบัติการของแก๊งสแกมเมอร์ในกัมพูชา มีการยึดทรัพย์สินรวมมูลค่าประมาณ 467 ล้านบาท, เครือข่ายนายยิม เลียก Yim Leak และ นายเบน สมิธ Ben Smith : เส้นทางการเงินจากคดีหลอกลงทุนผ่านแอปพลิเคชันเชื่อมโยงมายังเครือข่ายนี้ มีการอายัดหุ้นบริษัทบางจาก BCP มูลค่ากว่า 6,000 ล้านบาท และทรัพย์สินอื่น ๆ รวมมูลค่ากว่า 9,280 ล้านบาท, น.ส.แตงไทย (ปาริฉัตต์ แซ่เอี๊ยว) กับพวก และ นายเอื้ออังกูร สันติรักษ์โยธิน กับพวก : กลุ่มคนไทยที่หลอกลงทุนผ่านแอปพลิเคชันปลอมและฟอกเงินผ่านสินทรัพย์ดิจิทัล มีการยึดทรัพย์สินรวมมูลค่าประมาณ 46 ล้านบาท

@@@……ทั้งนี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานในการแถลงข่าว ยืนยันว่าจะขยายผลต่อไป และไม่ละเว้นหากพบว่าใครเกี่ยวข้อง โดยกรณีผลงานการยึดทรัพย์ของสแกมเมอร์ข้ามชาติในครั้งนี้ เป็นการทํางานร่วมกันของสำนักงานตํารวจแห่งชาติ และสํานักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ปปง. และหน่วยความมั่นคงที่เกี่ยวข้องอีกหลายหน่วย ซึ่งทั้งหมดเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลที่ชัดเจน และให้การสนับสนุนทุกหน่วยงานในการปราบปรามแก๊งสแกมเมอร์, แก๊งอาชญากรข้ามชาติ และอาชญากรรมทางเทคโนโลยี อีกทั้งยังยืนยันด้วยว่าจะต้องมีการขยายผลเพิ่มเติมอย่างแน่นอน เพื่อป้องกันยับยั้งเครือข่ายสแกมเมอร์ และอาชญากรรมข้ามชาติให้สำเร็จได้ในที่สุดจากนี้ไป
@@@……อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ การดำเนินคดีปราบปรามธุรกิจนอมินี และการฉ้อโกงโดยรวมในช่วงเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการปราบปรามในประเทศ เช่น กรมพัฒนาธุรกิจการค้า DBD และสำนักงานป้องกัน และปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ปปง. นั้น ได้มีการดำเนินคดีกับธุรกิจนอมินี และการฉ้อโกง รวมมากกว่า 875 คดี โดยมีความเสียหายรวม 15.3 พันล้านบาท และในรายงานช่วงเดือนก.ย.-ธ.ค. 2567 มีการดำเนินคดีไปแล้ว 783 คดี โดยจำนวนบริษัทฯ ที่เข้าข่ายสงสัยนั้น กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ได้ขึ้นธงแดง Flagged บริษัทฯ ที่เข้าข่ายเป็นธุรกิจนอมินีที่มีความเสี่ยงสูงกว่า 46,918 บริษัท เพื่อทำการตรวจสอบอย่างละเอียดต่อไป โดยล่าสุดของ ปปง. ยึดทรัพย์สินกว่า 10,165 ล้านบาทนั้น เป็นการยึดทรัพย์ของเครือข่ายสแกมเมอร์ข้ามชาติ Chen Zhi, Kok An, Ben Smith ด้วยการอายัดทรัพย์สินที่เป็นหุ้น ที่ดิน เงินสด และอื่น ๆ ซึ่งมีลักษณะเป็นบริษัทบังหน้า หรือบริษัทเปลือก Shell Companies ที่ใช้ในการฟอกเงิน

@@@……สำหรับการดำเนินจากมาตรการภาครัฐจากนี้ไปนั้น รัฐบาลไทยได้ประกาศยกระดับการปราบปรามอาชญากรรมไซเบอร์ และขบวนการฟอกเงินเป็นวาระแห่งชาติ และจะใช้มาตรการเชิงรุกที่เข้มข้นยิ่งขึ้น โดยมุ่งเน้นไปที่การตัดเส้นทางการเงิน และกวาดล้างเครือข่ายทั้งหมด ไม่ให้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิดอีกต่อไป และเพื่อตรวจสอบติดตามจับกุมผู้บงการ และผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นใคร รวมทั้งจะมีการนำพระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2568 ล่าสุดมาใช้บังคับอย่างเต็มที่ เพื่อสกัดกั้นบัญชีม้า ปิดซิมม้า และควบคุมการฟอกเงินผ่านสินทรัพย์ดิจิทัลให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยสถาบันการเงิน, ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ และผู้ให้บริการสื่อสังคมออนไลน์ จะต้องร่วมรับผิดชอบต่อความเสียหายของลูกค้า หากไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานที่กำหนดมาพร้อมด้วย ตลอดจนกรมพัฒนาธุรกิจการค้า จะได้ดำเนินการตรวจสอบบริษัทฯ ที่มีความเสี่ยงสูงกว่า 46,000 แห่งอย่างละเอียด เพื่อกวาดล้างโครงสร้างธุรกิจบังหน้าที่ใช้ในการฟอกเงินต่อเนื่องต่อไป
@@@…….ขณะที่ การเสริมสร้างความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน และพันธมิตรระหว่างประเทศ เช่น สหรัฐฯ และกลุ่ม Bali Process เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล และติดตามจับกุมอาชญากรข้ามชาติอย่างมีประสิทธิภาพนั้น ถือเป็นความจำเป็นที่ขาดไม่ได้ไปพร้อมด้วย ซึ่งฝ่ายความมั่นคง มองว่า หากการบังคับใช้มาตรการต่าง ๆ เหล่านี้ เป็นไปอย่างจริงจังแล้ว ก็จะสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน นักลงทุน และสามารถกำจัดภัยคุกคามจากอาชญากรรมเศรษฐกิจข้ามชาติเหล่านี้ออกไปจากประเทศไทยได้อย่างยั่งยืน ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ และสังคมของชาติ ก็จะได้รับการประกัน

@@@…….ศาสตราจารย์ ดร.สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี พระราชทานพระวโรกาสให้ พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก และคณะ เฝ้า เพื่อรับพระราชทานงบประมาณสำหรับการก่อสร้างที่มั่นกำบังและหลุมหลบภัยตามแผนงานระยะที่ 2 จำนวน 39,253,600 บาท พร้อมถวายรายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานโครงการสนับสนุน “กองทุนหทัยทิพย์” กองทัพบก ณ สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร
@@@…….ในโอกาสนี้ กองทัพบกได้กราบทูลถวายรายงานผลการก่อสร้างที่มั่นกำบัง (หลุมบุคคลคู่) สำหรับกำลังพล และหลุมหลบภัยสำหรับประชาชนตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก “กองทุนหทัยทิพย์” รวมจำนวน 51,813,600 บาท โดยแบ่งการดำเนินการเป็นแผนงานระยะที่ 1 และแผนงานระยะที่ 2 ครอบคลุมการก่อสร้างที่มั่นกำบัง 328 แห่ง และหลุมหลบภัยขนาดความจุ 40 คน 10 แห่ง ในพื้นที่จังหวัดสระแก้ว สุรินทร์ อุบลราชธานี ศรีสะเกษ และบุรีรัมย์
@@@…….สำหรับแผนงานระยะที่ 1 ได้เริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. 2568 มีกำหนดแล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคม 2568 ขณะนี้มีความก้าวหน้าแล้วร้อยละ 87.95 โดยก่อสร้างหลุมบุคคลคู่แล้วเสร็จ 23 แห่ง และหลุมหลบภัย 2 แห่ง ส่วนแผนงานระยะที่ 2 เริ่มก่อสร้างเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2568 และมีกำหนดแล้วเสร็จภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2569 ขณะนี้มีความก้าวหน้าแล้วร้อยละ 5.12 ทั้งนี้ การก่อสร้างได้ดำเนินการตามมาตรฐานและเกณฑ์ด้านความปลอดภัยที่กำหนด โดยทั้งสองแผนงานอยู่ระหว่างเร่งรัดการดำเนินการควบคู่กันเพื่อให้แล้วเสร็จตามแผนที่วางไว้

@@@…….ในการนี้ กองทัพบกได้ถวายรายงานข้อมูลความจำเป็นในพื้นที่ชายแดนเพิ่มเติม เพื่อใช้ประกอบการดำเนินงานในระยะต่อไป โดยในจังหวัดอุบลราชธานีมีความจำเป็นต้องขยายการจัดสร้างที่มั่นกำบังสำหรับกำลังพลอีก 40 แห่ง เพื่อเสริมประสิทธิภาพการป้องกัน ขณะเดียวกัน ได้ถวายรายงานความจำเป็นในการก่อสร้างหลุมหลบภัยเพิ่มเติม 6 แห่ง ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าและอุทยานแห่งชาติ เพื่อเสริมความปลอดภัยให้แก่เจ้าหน้าที่พลเรือน ซึ่งสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของโครงการ “กองทุนหทัยทิพย์” และสนองพระปณิธานในการยกระดับคุณภาพชีวิตและความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่ชายแดน กองทัพบกขอน้อมสำนึกในพระกรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ และจะมุ่งมั่นปฏิบัติภารกิจด้วยความจงรักภักดีและเสียสละ เพื่อสนับสนุนให้โครงการ “กองทุนหทัยทิพย์” เป็นศูนย์รวมแห่งพลังความร่วมมือของคนไทยจากทุกภาคส่วน ในการเสริมสร้างความมั่นคงของชาติ ความปลอดภัยของประชาชน และความเข้มแข็งของพื้นที่ชายแดนอย่างยั่งยืนอย่างเป็นรูปธรรม

@@@…….กองบัญชาการกองทัพไทย โดย ศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ (ศทช.) หน่วยปฏิบัติการทุ่นระเบิดด้านมนุษยธรรมที่ 2 จัดชุดปฏิบัติงานพื้นที่ บ้านชำราก ตำบลชำราก อำเภอเมืองตราด จังหวัดตราด การปฏิบัติงานเก็บกู้ทุ่นระเบิดปฏิบัติงานพื้นที่ บ้านชำราก ตำบลชำราก อำเภอเมืองตราด จังหวัดตราด ขนาดพื้นที่ 436,840 ตารางเมตร ดำเนินการสำรวจทางเทคนิคพื้นที่ ได้พื้นที่ปลอดภัย จำนวน 2,440 ตารางเมตร คิดเป็น 0.56 % ไม่พบทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ทั้งนี้ สรุปผลการปฏิบัติ ตั้งแต่ 30 ตุลาคม – ปัจจุบัน ทำการสำรวจทางเทคนิค ได้พื้นที่ปลอดภัย 52,521 ตารางเมตร คิดเป็น 12.02 % คงเหลือพื้นที่ต้องสงสัย/ยืนยันว่ามีทุ่นระเบิด จำนวนทั้งสิ้น 384,319 ตารางเมตร คิดเป็น 87.98 % พบทุ่นระเบิดสังหารบุคคล จำนวน 16 ทุ่น (PMN จำนวน 6 ทุ่น MD-82B จำนวน 3 ทุ่น POMZ2 จำนวน 1 ทุ่น POMZ2B จำนวน 4 ทุ่น TYPE-69 จำนวน 2 ทุ่น) สรรพาวุธระเบิดที่ยังไม่ระเบิด (UXO) จำนวน 20 รายการ ภารกิจดังกล่าวสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของกองบัญชาการกองทัพไทยและศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ ในการขจัดภัยคุกคามจากทุ่นระเบิด เพื่อคืนความปลอดภัยและความมั่นคงให้กับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ชายแดนไทย–กัมพูชา

@@@…….กองกำลังบูรพา ร่วมกับชุดสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา ของกรมแผนที่ทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย จำนวน 35 นาย โดยได้ดำเนินการปักหมุดชั่วคราวบนเส้นตรงระหว่างหลักเขตแดนที่ 42 ถึง 43 ของแต่ละฝ่ายอ้างสิทธิ์ ทุก ๆ ระยะ 50 ม. โดยเริ่มตั้งแต่หลักเขตแดนที่ 42 ซึ่งเส้นที่ฝ่ายไทยอ้างสิทธิ์สามารถปักหมุดชั่วคราวได้แล้วจำนวน 25 หมุด จากทั้งหมด 138 และเส้นที่ฝ่ายกัมพูชาอ้างสิทธิ์ สามารถปักหมุดชั่วคราวได้แล้ว จำนวน 25 หมุด จากทั้งหมด 139 หมุด รวมทั้งหมดสามารถปักหมุดชั่วคราว ได้แล้ว จำนวน 50 หมุด จากทั้งหมด 277 หมุด คิดเป็น 18.05 % การกำหนดแนวเขตแดนเพื่อการปักหมุดชั่วคราวในครั้งนี้ เป็นการปักหมุดตามที่ตั้งหลักเขตแดนเดิมที่ปักในอดีตเมื่อกว่า 120 ปี ไม่ได้ปักตามหรือใช้ แผนที่ 1:200,000 แต่อย่างใด

@@@…….สำหรับแผนการปฏิบัติในวันศุกร์ที่ 5 ธันวาคม 2568 จะดำเนินการปักหมุดชั่วคราวร่วมกับฝ่ายกัมพูชาต่อไป การดำเนินงานทุกขั้นตอนของชุดสำรวจฯ แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของไทยในการรักษาความถูกต้องของเส้นเขตแดนตามหลักภูมิสารสนเทศที่เป็นสากล การรังวัด การวางหมุด และการจัดทำแผนผังด้วยเทคโนโลยีดาวเทียมและโดรน ช่วยให้การกำหนดพิกัดเขตแดนมีความแม่นยำ โปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ และลดโอกาสการเกิดความคลาดเคลื่อนในอนาคต การปฏิบัติงานร่วมกันเช่นนี้ จึงเป็นรากฐานของการสร้างเขตแดนที่ชัดเจน เสริมสร้างความเชื่อมั่น และสนับสนุนความสงบเรียบร้อยตลอดแนวชายแดนไทย–กัมพูชาอย่างยั่งยืน

@@@…….กองทัพเรือ….พล.ร.อ.ไพโรจน์ เฟื่องจันทร์ ผู้บัญชาการทหารเรือ มอบหมายให้ พล.ร.อ.ธาดาวุธ ทัดพิทักษ์กุล เสนาธิการทหารเรือ เข้าร่วมการประชุมทางไกลเสมือนจริง The 13th Multilateral Maritime Virtual Key Leader Engagement (KLE) ในหัวข้อ “การเสริมสร้างความมั่นคงและความยืดหยุ่นของห่วงโซ่อุปทานทางทะเลในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก” หรือ “Building Resilient Maritime Supply Chain in Indo-Pacific” ณ กองบัญชาการกองทัพเรือ โดยเสนาธิการทหารเรือ ได้นำเสนอแลกเปลี่ยนมุมมองกับผู้แทนกองทัพเรือในภูมิภาคอินโด – แปซิฟิก เช่น สหรัฐฯ ฝรั่งเศส แคนาดา อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ บรูไน และประเทศอื่น ๆ รวม 20 ประเทศ ในหัวข้อ “การเสริมสร้างความมั่นคงและความยืดหยุ่นของห่วงโซ่อุปทานทางทะเลในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก” หรือ “Building Resilient Maritime Supply Chain in Indo-Pacific”
@@@…….โดยเน้นย้ำถึง ความสำคัญในการสร้างพันธมิตรและความร่วมมือในการส่งเสริมและพัฒนาความมั่นคงและความยืดหยุ่นของห่วงโซ่อุปทานทางทะเลในภูมิภาค ในประเด็นสำคัญ 4 ประการ คือ การเสริมสร้างการตระหนักรู้สถานการณ์ทางทะเล การสร้างความร่วมมือในระดับพหุภาคี การบูรณาการด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม และการพัฒนาอย่างยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมชี้ให้เห็นถึงความท้าทายในยุค VUCA World รวมถึง ภัยคุกคามทางทะเลในปัจจุบันที่เกิดขึ้นในรูปแบบ Emerging Threats และความเปราะบางของโครงสร้างพื้นฐานทางทะเล เช่น เคเบิ้ลใต้น้ำ ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือในการป้องกันภัยคุกคามดังกล่าว

@@@…….สำหรับการประชุมความร่วมมือทางทะเล KLE กับกองทัพเรือมิตรประเทศในครั้งนี้ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของกองทัพเรือไทยในการเสริมสร้างพันธมิตรในระดับภูมิภาคที่ยั่งยืน และการเสริมสร้างความร่วมมือด้านความมั่นคงทางทะเล เพื่อคุ้มครองเส้นทางคมนาคมทางทะเลของภูมิภาค พัฒนาเครือข่ายความร่วมมือที่เข้มแข็งในการรองรับสถานการณ์วิกฤตและความเปลี่ยนแปลงในอนาคต อันจะช่วยลดผลกระทบต่อความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทานทางทะเลในภาพรวม พร้อมร่วมผลักดันให้มหาสมุทรและทะเลในภูมิภาคอินโด–แปซิฟิกเป็นพื้นที่แห่งสันติภาพ ความมั่นคง และความเจริญรุ่งเรืองอย่างยั่งยืนต่อไป

@@@…….ช่วยเหลือประชาชน กองทัพเรือ โดยทัพเรือภาคที่ 3 ได้ปฏิบัติภารกิจช่วยเหลือประชาชนในจังหวัดสตูลอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เกิดเหตุอุทกภัยเมื่อวันที่ 22 พ.ย. 2568 โดยจัดกำลังพล ยุทโธปกรณ์ และชุดบรรเทาสาธารณภัยลงพื้นที่ทันที เพื่ออพยพ ลำเลียงผู้ประสบภัยจากพื้นที่เสี่ยง สนับสนุนการขนย้ายผู้ป่วย ผู้สูงอายุ และกลุ่มเปราะบาง รวมถึงจัดตั้งจุดแจกจ่ายถุงยังชีพ น้ำดื่ม และสิ่งของจำเป็นในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก ภายหลังสถานการณ์น้ำในหลายพื้นที่ลดระดับลงตั้งแต่วันที่ 28 พฤศจิกายน 2568 ที่ผ่านมา ทัพเรือภาคที่ 3 ได้เดินหน้าสู่ภารกิจฟื้นฟู โดยกำลังพลจากศูนย์บรรเทาสาธารณภัย ทัพเรือภาคที่ 3 บูรณาการร่วมกับส่วนราชการในพื้นที่ เร่งทำความสะอาดสถานที่ราชการ โรงเรียน ถนนสายหลัก–สายรอง และบ้านเรือนประชาชน ในพื้นที่อำเภอละงู จังหวัดสตูล เพื่อให้สามารถกลับมาใช้งานได้โดยเร็ว กองทัพเรือยังคงยืนหยัดเคียงข้างพี่น้องประชาชนในยามเดือดร้อน พร้อมปฏิบัติภารกิจช่วยเหลือและฟื้นฟูอย่างเต็มกำลัง จนกว่าสถานการณ์จะกลับสู่ภาวะปกติ
…………..
คอลัมน์ : “Military Key”
โดย.. “รหัสมอร์ส”




















