อดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ปรากฏตัวที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ร่วมเวที “ปลดล็อกอนาคตประเทศไทย สู้วิกฤติโลก” จัดโดย บมจ.อสมท เปิดมุมมองอนาคตเศรษฐกิจไทยอย่างเฉียบคม ชี้ระบบราชการไร้ประสิทธิภาพ หนี้ครัวเรือนพุ่ง ต้องรีบจัดการก่อนสายเกินไป พร้อมเสนอแนวทางฟื้นฟูประเทศผ่านการตั้ง AMC ภาคประชาชน ปฏิรูปรัฐธรรมนูญ เศรษฐกิจ และระบบภาษี ย้ำ “การเมืองเปลี่ยนได้ แต่ประเทศต้องพัฒนาไปข้างหน้า”
เมื่อวันที่ 17 ก.ค. ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ในงานเสวนาพิเศษ “ปลดล็อกอนาคตประเทศไทย สู้วิกฤติโลก” (Unlocking Thailand’s Future) ซึ่งจัดโดยบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ขึ้นกล่าวปาฐกถาพิเศษภายใต้หัวข้อ “ปลดล็อกอนาคตประเทศไทย สู้วิกฤติโลก” และ “พลิกเกมเศรษฐกิจไทยสู่อนาคต” โดยสะท้อนภาพรวมเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมไทยในปัจจุบัน พร้อมเสนอแนวทางแก้ไขอย่างเป็นระบบ
นายทักษิณกล่าวว่า หลายประเด็นที่ตนเคยกล่าวไว้เมื่อ 20 ปีก่อนในฐานะนายกรัฐมนตรี ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง บางเรื่องกลับถดถอยลงเสียด้วยซ้ำ โดยเฉพาะระบบราชการที่ขยายใหญ่ แต่ประสิทธิภาพกลับลดต่ำลง สวนทางกับความสามารถของภาคเอกชนที่ยังมีความหวัง
นายทักษิณ เน้นย้ำว่า ประเทศไทยในวันนี้ขาดความเชื่อมั่นจากคนในชาติเอง ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการรวมพลังเพื่อขับเคลื่อนประเทศ พร้อมวิจารณ์กรณีความสัมพันธ์กับกัมพูชาอย่างเผ็ดร้อน โดยตั้งคำถามถึงจริยธรรมของผู้นำประเทศเพื่อนบ้าน และการตัดสินใจของฝ่ายการเมืองไทยบางกลุ่มที่เขาเห็นว่า “ไม่สมควร”
นอกจากนี้ นายทักษิณยังระบุว่าปัญหาการเมืองเป็นอุปสรรคสำคัญในการพัฒนาประเทศ โดยยกตัวอย่างรัฐธรรมนูญปี 2540 ซึ่งเขายกย่องว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน และเคยเปิดทางให้พรรคไทยรักไทยชนะเลือกตั้งจากการนำนโยบายเป็นตัวตั้ง แต่หลังจากการรัฐประหาร การเมืองไทยกลับถดถอยสู่ความไม่เสถียรอีกครั้ง
ในด้านเศรษฐกิจ เขาเสนอให้เร่งจัดตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ของภาคประชาชน (ประชาชน AMC) เพื่อแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่สูงถึง 92% ของ GDP และเสนอแนวทางลดค่าใช้จ่ายของประชาชน เช่น ปรับค่าบริการรถไฟฟ้าเหลือ 20 บาทตลอดสาย ควบคู่ไปกับการพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะและโครงสร้างพื้นฐานใหม่ เช่น ถนนชาร์จไฟฟ้าแบบไร้สาย
นายทักษิณยังกล่าวถึงความจำเป็นในการปรับระบบราชการทั้งเชิงโครงสร้าง งบประมาณ และระเบียบกฎหมาย โดยเสนอให้มหาวิทยาลัยเข้าไปช่วยวางแผนพัฒนาแต่ละกระทรวงแทนการปล่อยให้ข้าราชการดูแลกันเอง พร้อมเสนอแนวคิดแทนที่การจ่าย “ใต้โต๊ะ” ด้วยการจัดเก็บ “ค่าธรรมเนียมบริการ” อย่างโปร่งใส และมีประสิทธิภาพในรูปแบบดิจิทัล
นอกจากนี้ยังกล่าวถึงการใช้งบประมาณภาครัฐ โดยเฉพาะในส่วนของกระทรวงสาธารณสุขและกองทัพ ว่าควรปรับโครงสร้างใหม่ โดยเสนอให้ใช้งบประมาณแบบ “Zero Based Budgeting” หรือเริ่มต้นจากศูนย์ คำนวณจากความจำเป็นจริง ลดรายจ่ายที่ซ้ำซ้อน และให้ทันกับยุคสมัยใหม่ที่เปลี่ยนแปลงเร็ว เช่น ความมั่นคงทางไซเบอร์
“วันนี้ประเทศไทยจำเป็นต้อง ‘เปลี่ยนก่อนจะถูกเปลี่ยน’ ต้องเริ่มจากการปฏิรูปภาครัฐ ลดภาระประชาชน และสร้างความมั่นใจในตัวเองและคนไทยด้วยกันให้กลับคืนมา” นายทักษิณกล่าวทิ้งท้ายบนเวที พร้อมย้ำว่าความหวังยังมี ถ้าทุกฝ่ายร่วมมือกันจริงจัง.




















