“สรรพสามิต” เตรียมเสนอครม. ของบ 7,000 ล้าน อุดหนุนอีวีเพิ่ม 3.5 หมื่นคัน ดันให้ไทยรักษาการเป็นฐานการผลิตรถยนต์สมัยใหม่ชั้นนำของโลก
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ขณะนี้กรมสรรพสามิตได้ทำเรื่องเสนอครม. ของอนุมัติงบกลางเพิ่มเติมอีก 7,000 ล้านบาท เพื่อจ่ายอุดหนุนการดำเนินมาตรการส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) จำนวน 35,000 คัน โดยที่ผ่านมา กรมฯ ได้จ่ายเงินอุดหนุนรอบแรกไปแล้ว 7,000 ล้านบาท เป็นรถอีวี 40,000 คัน ซึ่งรวมแล้วใช้เงินอุดหนุนรวมประมาณ 14,000 ล้านบาท
ขณะเดียวกันค่ายรถยนต์มีแผนที่จะตั้งโรงงานผลิตอุปกรณ์ชิ้นส่วน และอะไหล่ต่าง ๆ สำหรับใช้ในรถอีวี เช่น ระบบบริหารจัดการแบตเตอรี่ในรถอีวี ระบบการปรับเกียร์ มอเตอร์รถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งเบื้องต้นมีเม็ดเงินเข้ามาลงทุนในส่วนอุปกรณ์ และอะไหล่รถยนต์ในไทยอีก 5,000 ล้านบาท ดังนั้นเมื่อเทียบกับงบประมาณที่ใช้ไปจากการอุดหนุนรถอีวี รวมถึงการลดภาษีสรรพสามิต ถือว่าจะมีความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ และจะช่วยผลักดันให้ไทยรักษาการเป็นฐานการผลิตรถยนต์สมัยใหม่ชั้นนำของโลกต่อไปได้
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลวางเป้าหมายมาตรการส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้าว่า ปี 73 ต้องมีการผลิตรถไฟฟ้า 30% ของการผลิตรถยนต์ทั้งหมด ควบคู่กับการรักษาการเป็นฐานการผลิตรถยนต์สันดาปชั้นนำของโลกต่อไป โดยตามเงื่อนไขมาตรการอีวี 3.0 จะต้องผลิตรถไฟฟ้าชดเชยรถที่นำเข้ามาปี 65-66 มีทั้งหมด 1 แสนคัน ฉะนั้นปี 67 ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการจะต้องเข้ามาตั้งโรงงานในไทย และผลิตรถอีวีให้ทันตามเงื่อนไข โดยหากผลิตทันในปีนี้ ทำแค่เพียง 1 เท่า แต่ถ้าเป็นปี 68 ต้องผลิต 1.5 เท่า จึงคาดว่าค่ายรถจะผลิตคืนทันปีแรก 80,000-90,000 คัน
สำหรับมาตรการอีวี 3.5 เริ่มในปี 67-70 จะเปลี่ยนเงื่อนไขให้เงินอุดหนุนการซื้อรถยนต์ไฟฟ้าลดลง เหลือสูงสุด 1 แสนบาทต่อคัน และปี 68 จะลดเหลือ 75,000 บาทต่อคัน และอีก 2 ปีที่เหลือ จะอุดหนุน 50,000 บาท เพื่อเป็นการช่วยค่ายรถยนต์บางส่วนที่เข้าร่วมมาตรการอีวี 3.0 ไม่ทันระยะเวลาที่กำหนด โดยปัจจุบันไทยผลิตรถสันดาปปีละ 1.6-1.8 ล้านคัน ครึ่งหนึ่งขายในประเทศ ครึ่งหนึ่งเป็นฐานการส่งออ ซึ่งจากนี้จะเห็นการผลิตรถอีวีเพิ่มขึ้น