หน้าแรกNEWSQ3/68''ปตท.''กำไร 3,460 ลบ.จากธุรกิจการกลั่นเพิ่มขึ้น

Q3/68”ปตท.”กำไร 3,460 ลบ.จากธุรกิจการกลั่นเพิ่มขึ้น

- Advertisement -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

PTT ประกาศกำไรสุทธิในไตรมาส 3/2568 ที่ 19,784 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,460 ล้านบาท หรือร้อยละ 21.2 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่จำนวน 16,324 ล้านบาท ตาม EBITDA ที่เพิ่มขึ้น โดยหลักมาจากกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่นมีผลการดำเนินงานเพิ่มขึ้น จากมีกำไรสต๊อกน้ำมันหนุน

บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT เปิดเผยว่า ในไตรมาสที่ 3 ปี 2568 ปตท. และบริษัทย่อยมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย ต้นทุนทางการเงิน และภาษีเงินได้ (EBITDA) จำนวน 85,769 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16,877 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 24.5 จากไตรมาสที่ 3 ปี 2567 ที่จำนวน 68,892 ล้านบาท

โดยหลักมาจากกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่นมีผลการดำเนินงานเพิ่มขึ้น โดยธุรกิจการกลั่นเพิ่มขึ้น เนื่องจากในไตรมาสนี้มีกำไรจากสต๊อกน้ำมันสุทธิกับมูลค่าสุทธิที่จะได้รับของสินค้าคงเหลือ โดยใน 3Q2568 ปตท. และบริษัทย่อยมีกำไรประมาณ 1,700 ล้านบาท ขณะที่ใน Q3 /2567 มีผลขาดทุนประมาณ20,000 ล้านบาท รวมทั้งกำไรขั้นต้นจากการกลั่น (Market GRM) เพิ่มขึ้น แม้ว่าปริมาณขายลดลง

ขณะที่ธุรกิจปิโตรเคมีมีผลการดำเนินงานลดลง โดยหลักจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบของกลุ่มโอเลฟินส์และอะโรเมติกส์ที่ปรับตัวลดลง อย่างไรก็ตาม กลุ่มธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมมีผลประกอบการลดลง โดยหลักจากรายได้จากการขายที่ลดลงตามราคาน้ำมันซึ่งปรับลดลงตามราคาตลาดโลก ประกอบกับกลุ่มธุรกิจก๊าซธรรมชาติมีผลการดำเนินงานลดลง โดยหลักจากธุรกิจจัดหาและค้าส่งก๊าซฯ และธุรกิจโรงแยกก๊าซฯ ตามปริมาณขายและราคาขายเฉลี่ยที่ลดลง

ใน Q3/2568 ปตท. และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ 19,784 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,460 ล้านบาท หรือร้อยละ 21.2 จากใน Q3 /2567 ที่จำนวน 16,324 ล้านบาท ตาม EBITDA ที่เพิ่มขึ้นตามที่กล่าวข้างต้น ประกอบกับใน 3Q2568 มีการรับรู้รายการที่ไม่ได้เกิดขึ้นประจำ (Non-recurring Items) สุทธิภาษีตามสัดส่วนของ ปตท. เป็นผลกำไรประมาณ 900 ล้านบาท โดยหลักจากกำไรจากการซื้อคืนหุ้นกู้ของ TOP และ GC ขณะที่ในQ3 /2567 มีผลขาดทุนประมาณ 9,500 ล้านบาท โดยหลักจากส่วนแบ่งขาดทุนจากบริษัท พีทีที อาซาฮี เคมิคอล จำกัด (PTTAC) จากการด้อยค่าสินทรัพย์

ใน Q3/2568ปตท. และบริษัทย่อยมีกำไรจากการดำเนินงาน (EBITDA) จำนวน 85,769 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7,108 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 9.0 จากในไตรมาส 2 ปี 2568 ที่จำนวน 78,661 ล้านบาท

โดยหลักจากกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่นมีผลการดำเนินงานเพิ่มขึ้น โดยธุรกิจการกลั่นเพิ่มขึ้น เนื่องจากในไตรมาสนี้มีกำไรจากสต๊อกน้ำมันสุทธิกับมูลค่าสุทธิที่จะได้รับของสินค้าคงเหลือ โดยใน Q3/2568 ปตท. และบริษัทย่อยมีกำไรประมาณ 1,700 ล้านบาท ขณะที่ใน 2Q2568 มีผลขาดทุนประมาณ 7,200 ล้านบาท แม้ว่า Market GRM และปริมาณขายลดลง

ขณะที่ธุรกิจปิโตรเคมีมีผลการดำเนินงานลดลงเล็กน้อย โดยหลักจากกลุ่มโอเลฟินส์ตามส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบที่ปรับตัวลดลง นอกจากนี้ กลุ่มธุรกิจการค้าระหว่างประเทศมีผลการดำเนินงานเพิ่มขึ้น จากการรับรู้กำไร Mark-to-market ของสินค้าระหว่างการขนส่งใน Q3/2568ขณะที่ใน Q2/2568 รับรู้เป็นขาดทุน

ประกอบกับมีกำไรจากส่วนต่างของราคาซื้อ-ขายผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันธุรกิจก๊าซฯ มีผลการดำเนินงานดีขึ้น โดยหลักจากธุรกิจโรงแยกก๊าซฯ และธุรกิจจัดหาและค้าส่งก๊าซฯ จากต้นทุนที่ลดลงตามราคาก๊าซธรรมชาติ (Pool Gas) แม้ว่าราคาขายเฉลี่ยและปริมาณขายรวมลดลง

ใน Q3/2568 ปตท. และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ 19,784 ล้านบาท ลดลง 1,749 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 8.1 จากใน 2Q2568 ที่จำนวน 21,533 ล้านบาท โดยหลักจากใน Q2/2568 มีการรับรู้ Non-recurring Items สุทธิภาษีตามสัดส่วนของ ปตท. เป็นกำไรประมาณ 4,200 ล้านบาท โดยหลักจาก TOP ที่มีการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรของบริษัทร่วม จากการซื้อกิจการในราคาต่ำกว่ามูลค่ายุติธรรมของการเข้าซื้อหุ้นและควบรวมโรงกลั่นน้ำมันของกลุ่มเชลล์ในสิงคโปร์

 ขณะที่ใน Q3/2568 รับรู้เป็นกำไรประมาณ 900 ล้านบาท โดยหลักจากกำไรจากการซื้อคืนหุ้นกู้ของ TOP และ GC

ในงวด 9 เดือนแรกของปี 2568 (9M2568) ปตท. และบริษัทย่อยมีกำไรจากการดำเนินงาน (EBITDA) จำนวน257,957 ล้านบาท ลดลงจำนวน 44,986 ล้านบาท หรือร้อยละ 14.8 จาก 9M2567 ที่จำนวน 302,943 ล้านบาท โดยหลักจากกลุ่มธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมมีผลการดำเนินงานลดลงจากราคาขายเฉลี่ยที่ลดลง กลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่นลดลง โดยธุรกิจปิโตรเคมีมีผลการดำเนินงานลดลงโดยหลักจากกลุ่มอะโรเมติกส์และกลุ่มโอเลฟินส์ จากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่กับวัตถุดิบที่ปรับลดลง ธุรกิจการกลั่นมีผลการดำเนินงานลดลง เนื่องจาก Market GRM ลดลงจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ที่ปรับลดลง รวมทั้งปริมาณขายลดลง

ในขณะที่ 9 เดือนของปี 2568 มีผลขาดทุนสต๊อกน้ำมันสุทธิกับมูลค่าสุทธิที่จะได้รับของสินค้าคงเหลือลดลง โดย ปตท. และบริษัทย่อยมีกำไร (ขาดทุน) ประมาณ 4,000 ล้านบาท ขณะที่ใน 9M2567 ขาดทุนประมาณ 14,300 ล้านบาท

นอกจากนี้ กลุ่มธุรกิจก๊าซฯ มีผลการดำเนินงานลดลงจากธุรกิจโรงแยกก๊าซฯ ที่กำไรขั้นต้นลดลงจากราคาขายเฉลี่ยลดลงตามราคาปิโตรเคมีส่วนใหญ่ที่ใช้อ้างอิง ประกอบกับ EBITDA ของบริษัทย่อยในกลุ่มธุรกิจก๊าซฯ ปรับลดลง โดยหลักจากบริษัท พีทีทีแอลเอ็นจี จำกัด (PTTLNG) เนื่องจากมีการลดสัดส่วนการถือหุ้นในโครงการ LNG Receiving Terminal แห่งที่ 2 (LMPT2) เป็นร้อยละ 50.0 เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2567

ขณะที่ธุรกิจจัดหาและค้าส่งก๊าซฯ มีผลการดำเนินงานดีขึ้น แม้ว่าปริมาณขายรวมลดลง เนื่องจากในเดือนมกราคม 2567 มีการนำค่าปรับจากปริมาณที่ผู้ผลิตก๊าซฯ ส่งได้ไม่ถึงปริมาณตามสัญญา (Shortfall) ของแหล่งก๊าซฯ ในอ่าวไทยจำนวน 4,300 ล้านบาท มาคำนวณเป็นส่วนลดราคา Pool Gas ตามคำสั่งคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.)

โดยใน 9 เดือน 2568 ปตท. และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิจำนวน 64,632 ล้านบาท ลดลง 16,129 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 20.0 จาก 9เดือน2567 ที่มีกำไรสุทธิจำนวน 80,761 ล้านบาท จาก EBITDA ที่ลดลงตามที่กล่าวข้างต้น แม้ว่าใน 9M2568 มีการรับรู้ Non-recurring Items สุทธิภาษีตามสัดส่วนของ ปตท. เป็นกำไรประมาณ 5,000 ล้านบาท โดยหลักจากการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรของบริษัทร่วมจากการซื้อกิจการในราคาต่ำกว่ามูลค่ายุติธรรมของการเข้าซื้อหุ้นและควบรวมโรงกลั่นน้ำมันของกลุ่มเชลล์ในสิงคโปร์ของ TOP

ขณะที่ใน 9เดือน2567 มีกำไรประมาณ 600 ล้านบาท โดยหลักจากกำไรจากการขายเงินลงทุนใน Alvogen Malta (Out-licensing) Holding Ltd. (AMOLH) และกำไรจากการจำหน่ายสินทรัพย์ให้บริษัท พีอีแอลเอ็นจี จำกัด (PE LNG) ของ PTTLNG สุทธิกับส่วนแบ่งขาดทุนจาก PTTAC จากการด้อยค่าสินทรัพย์

- Advertisement -spot_imgspot_img
RELATED ARTICLES
- Advertisement -spot_imgspot_img

HIGHLIGHT

- Advertisment -spot_img
spot_img

Most Popular

- Advertisement -spot_img
spot_img
- Advertisement -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img