“……จากธุรกิจแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และกาสิโนออนไลน์ ถือเป็น “ภัยต่อความมั่นคงทางสังคม” ซึ่งจีนให้ความสำคัญสูงสุด คาดหมายได้ว่า ผลการพิจารณาคดีอาญาของจีนครั้งนี้ อาจเข้าข่ายระวางโทษสูงสุด คือ ประหารชีวิต….”
@@@…….สวัสดีท่านผู้อ่านทุกท่าน พบกันทุกวันเสาร์กับคอลัมน์ “Military Key” ทางเว็บไซต์ https:// thekey.news ซึ่งตรงกับวันเสาร์ที่ 15 พ.ย.68 สัปดาห์ที่ผ่านมา ศาลอุทธรณ์ ได้มีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ส่งตัวนายเฉอ จื้อเจียง She Zhijiang ผู้ก่อตั้งเมือง ชเวโก๊กโก่ หรือ KK Park กลับไปยังจีน
@@@…….โดยคำวินิจฉัย ชี้ว่า การส่งผู้ร้ายข้ามแดนให้จีนในกรณีนี้ ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ และทางการไทย กำลังดำเนินการส่งตัวนายเฉอ จื้อเจียง ซึ่งถูกกล่าวหาว่าเป็นตัวการสำคัญในศูนย์สแกมเมอร์ขนาดใหญ่ในเมียนมา เชื่อมโยงระหว่าง ทุนสีเทา, อาชญากรรมไซเบอร์ และอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะแก๊งหลอกลวงออนไลน์ที่สร้างความเสียหายมหาศาลต่อผู้คนมากมายในจีน และภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อให้ทางการจีนดำเนินคดีทางอาญาต่อไป
@@@…… เมือง ชเวโก๊กโก่ หรือ KK Park ที่นาย เฉอ จื้อเจียง She Zhijiang สร้างขึ้น คือ ฐานกาสิโน ซึ่งมีการฟอกเงินมูลค่ามากกว่า 15,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อปี ดังนั้น การส่งตัวเขาไปจีน จะส่งผลทำให้โครงสร้างการบริหารงานของกลุ่มอาชญากรรมข้ามชาตินี้ สูญเสียแกนนำหลัก และทำให้สามารถขจัดแรงงานผิดกฎหมายเคลื่อนย้ายเข้าสู่ฝั่งไทย หรือประเทศเพื่อนบ้าน และลดบทบาททุนสีเทา รวมถึงช่วยฟื้นความเชื่อมั่นของนักลงทุน และผู้ค้าถูกกฎหมายในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้เป็นอย่างดี
@@@…….นาย เฉอ จื้อเจียง She Zhijiang เป็น ชาวจีนโดยกำเนิด แต่ภายหลังได้ถือ สัญชาติกัมพูชาไปพร้อมด้วย ทำให้เขามีความเชื่อมโยงกับทั้งจีน และกัมพูชาในเชิงกฎหมาย และธุรกิจ ซึ่งการถือ 2 สัญชาติของนักลงทุนสีเทา คือ ช่องโหว่ที่ทำให้พวกเขา สามารถเคลื่อนย้ายเงินทุนผิดกฎหมายได้ง่ายขึ้น และเลี่ยงการตรวจสอบจากภาครัฐของแต่ละประเทศ ส่งผลให้การกำกับดูแลการลงทุนในภูมิภาคอาเซียนซับซ้อนขึ้น ทั้งในด้านการฟอกเงิน การแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม รวมไปถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนถูกกฎหมาย
@@@…….ทั้งนี้ การได้รับสัญชาติกัมพูชา และใช้พาสปอร์ตของกัมพูชาในการเดินทาง และทำธุรกิจในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้เขาสามารถเคลื่อนไหว และลงทุนในเมียนมา, ลาว, และกัมพูชา ซึ่งช่วยให้หลีกเลี่ยงการตรวจสอบจากจีนได้ นั่นเอง อย่างไรก็ตาม การจับกุม และส่งตัวนายเฉอ จื้อเจียงให้จีน แสดงถึงความร่วมมือไทย และจีน อย่างใกล้ชิดในการจัดการอาชญากรรมข้ามชาติ แม้เขาจะถือพาสปอร์ตกัมพูชาก็ตาม
@@@…….หลังถูกจับกุมในไทยปี 2565 แม้ว่า นาย เฉอ จื้อเจียง She Zhijiang และทีมทนายได้ยื่นคำร้องต่อศาล ขอให้ส่งตัวเขากลับไปกัมพูชา โดยอ้างสิทธิในฐานะพลเมืองกัมพูชา และพยายามใช้สถานะสัญชาติกัมพูชานี้เป็นเกราะป้องกัน เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกส่งตัวไปจีน ซึ่งมีโทษร้ายแรงต่อคดีอาชญากรรมไซเบอร์ และกาสิโนออนไลน์ แต่ศาลไทย ไม่รับฟัง และท้ายที่สุดได้ส่งตัวเขาให้จีนตามคำร้องขอส่งผู้ร้ายข้ามแดนของรัฐบาลจีน ซึ่งฝ่ายความมั่นคง มองว่า การชี้ขาดของฝ่ายตุลาการไทยนั้น ถือว่าได้มีการพิจารณาอย่างถูกต้องเหมาะสมแล้ว และถือเป็นกรณีตัวอย่างเพื่อปิดโอกาสการทำธุรกิจผิดกฎหมาย และจัดการกับอาชญากรรมข้ามชาติที่ใช้ไทยเป็นทางผ่านได้อย่างเฉียบขาด
@@@…….ทั้งนี้ เนื่องจากธุรกิจของนาย เฉอ จื้อเจียง โดยเฉพาะแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และกาสิโนออนไลน์ ทำให้คนจีนจำนวนมากสูญเสียเงินมหาศาล ถือเป็น “ภัยต่อความมั่นคงทางสังคม” ซึ่งจีนให้ความสำคัญสูงสุด คาดหมายได้ว่า ผลการพิจารณาคดีอาญาของจีนครั้งนี้ อาจเข้าข่ายระวางโทษสูงสุด คือ “ประหารชีวิต” แต่ในหลายกรณีที่ผ่านมา ศาลจีน มักเลือกใช้โทษ “จำคุกตลอดชีวิต” เพื่อแสดงความเข้มงวดโดยไม่ถึงขั้นประหาร อย่างไรก็ตาม หากรัฐบาลจีนต้องการใช้คดีนี้เป็น “ตัวอย่างเชิงนโยบาย” เพื่อตอกย้ำการปราบปรามทุนสีเทา อาชญากรรมเศรษฐกิจ และไซเบอร์ ก็มีโอกาสที่โทษจะรุนแรงกว่าปกติถึงขั้นประหารชีวิตได้เช่นกัน
@@@…….อย่างไรก็ตาม สำหรับประเทศไทยนั้น ยังพบกรณีลักษณะเดียวกับ นาย เฉอ จื้อเจียง อยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะการจับกุม และส่งผู้ร้ายข้ามแดนที่เกี่ยวข้องกับ ทุนจีนสีเทา, แก๊งคอลเซ็นเตอร์ และการฟอกเงิน ซึ่งใช้ไทยเป็นฐานพักพิง หรือฟอกเงิน ก่อนถูกส่งตัวไปดำเนินคดีในประเทศต้นทาง โดยมีการจับกุมเครือข่ายนักลงทุนจีนที่เข้ามาทำธุรกิจผิดกฎหมายอยู่อย่างต่อเนื่อง เช่น กาสิโนออนไลน์, ฟอกเงินผ่านอสังหาริมทรัพย์ และใช้ “นอมินีคนไทย” และ “บริษัทเปลือก” บังหน้า แต่แนวโน้มล่าสุด คือ ประเทศไทย กำลังเข้มงวดการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติมากขึ้นอีก ผ่านสนธิสัญญาอาเซียน และความร่วมมือกับจีน
@@@…….โดยปัจจุบัน ฝ่ายความมั่นคง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผนึกกำลัง 14 หน่วยงานหลัก รวมทั้งกำลังมุ่งมั่นปรับปรุงมาตรการปราบปรามทุนสีเทา และอาชญากรรมข้ามชาติอย่างจริงจัง โดยเน้นทั้ง การลงนามสนธิสัญญาอาเซียนส่งผู้ร้ายข้ามแดน, มาตรการตัดไฟ ตัดอินเทอร์เน็ต ตัดน้ำมัน ในพื้นที่ชายแดน ตลอดจนการปรับปรุงเครื่องมือ กฎระเบียบ และรูปแบบการทำงานของพนักงานเจ้าหน้าที่ และตำรวจ ทั้งนี้ เพื่อให้การรับมือกับอาชญากรรมข้ามชาติยุคดิจิทัลเหล่านี้ บรรลุความสำเร็จได้ในที่สุดจากนี้ไป

@@@…….สำหรับสถานการณ์ชายแดนไทย – กัมพูชา ที่ปัจจุบันได้มีความตึงเครียดอีกครั้ง หลังจากเกิดเหตุกำลังพลเหยียบทุ่นระเบิดที่ฝ่ายกัมพูชาเข้ามาลักลอบวางไว้ อันถือเป็นการละเมิดต่อปฏิญญาร่วมและแสดงความเป็นปรปักษ์ จนนำไปสู่การที่รัฐบาลไทยมีมติระงับการดำเนินการตามปฏิญญาร่วม (Joint Declaration) และชะลอการส่งตัวเชลยศึก รวมทั้งสถานการณ์เมื่อที่ 12 พ.ย.68 ที่พบว่าฝ่ายกัมพูชาใช้การสร้างสถานการณ์ ให้กำลังทหารเปิดฉากยิงเข้ามาในพื้นที่ฝั่งไทยในบริเวณบ้านหนองหญ้าแก้ว จ.สระแก้ว จนฝ่ายไทยต้องตอบโต้สถานการณ์ตามกฎการใช้กำลัง เพื่อป้องกันตนเองและดูแลความปลอดภัยให้ประชาชนชาวไทย ซึ่งหลังจากเกิดเหตุการณ์ ฝ่ายกัมพูชาได้มีการปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารสร้างข่าวบิดเบือนอย่างกว้างขวาง โดยกล่าวหาว่าไทยได้เปิดฉากยิงพลเรือนกัมพูชา และเป็นฝ่ายละเมิดข้อตกลง พร้อมทั้งเรียกร้องให้ไทยปล่อยตัวเชลยศึกในทันทีโดยไม่มีเงื่อนไข

@@@…….จากสถานการณ์ดังกล่าว พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ระบุว่า แม้กัมพูชาจะพยายามสร้างสถานการณ์ให้ฝ่ายไทยเป็นผู้ละเมิดต่อข้อตกลง และสร้างภาพว่าเป็นเหยื่อของการกระทำของฝ่ายไทย โดยกล่าวหาฝ่ายไทยว่าทำการยิงไปยังประชาชนกัมพูชา รวมถึงได้กล่าวหาอย่างร้ายแรงว่ากำลังพลของไทยได้เหยียบทุ่นระเบิดที่ฝ่ายไทยเป็นผู้วางไว้เอง ซึ่งหากพิจารณาให้ถี่ถ้วนแล้วจะพบว่าข้อกล่าวหาทั้งหมดล้วนปราศจากหลักฐานข้อเท็จจริง แต่ใช้วิธีการสร้างและประโคมข่าวเท็จอย่างเป็นระบบ ทั้งในส่วนราชการ, สื่อภายในประเทศ รวมทั้งประชาชนของกัมพูชา ทำให้เกิดความสับสนและเข้าใจผิดเป็นวงกว้าง

@@@…….โดยกองทัพบกขอชี้แจงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น เพื่อให้สาธารณชนได้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง ดังนี้ กรณีการตรวจพบทุ่นระเบิดสังหารบุคคล PMN-2 บริเวณห้วยตามาเรีย และกัมพูชาได้กล่าวอ้างว่าทหารไทยได้เหยียบทุ่นระเบิดที่วางไว้เองนั้น ฝ่ายไทยมีหลักฐานชัดเจน จากการตรวจสอบที่เกิดเหตุโดยเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน ซึ่งพบว่าเป็นทุ่นระเบิดแบบ PMN-2 ที่วางใหม่ และในบริเวณใกล้เคียงยังพบทุ่นระเบิดอีก 3 ทุ่น อีกด้วย สอดคล้องกับข้อมูลเดิมที่มีการรายงานว่าทหารกัมพูชาได้ลักลอบเข้ามาตัดลวดหนามที่ไทยได้วางไว้ ก่อนจะพบการวางทุ่นระเบิดดังกล่าว รวมถึงพบการรายงานในพื้นที่อื่น ๆ ว่ามีการพบทุ่นระเบิดแบบ PMN-2 ด้วยเช่นกัน

@@@…….กรณีเหตุการณ์ที่กัมพูชาเปิดฉากเข้ามายังบ้านหนองหญ้าแก้ว จ.สระแก้ว จนทำให้กองกำลังบูรพามีความจำเป็นต้องยิงตอบโต้ เพื่อแจ้งเตือนและป้องกันตนเองจากการคุกคามที่เกิดขึ้น และหลังจากเกิดเหตุกัมพูชาได้สร้างข้อมูลบิดเบือนว่า ฝ่ายไทยยิงใส่พลเรือนกัมพูชาจนได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตนั้น โฆษกกองทัพบก ยืนยันว่าการปฏิบัติของฝ่ายไทยวานนี้ เป็นการตอบโต้ตามสถานการณ์ตามกฎการใช้กำลัง ซึ่งการยิงของทหารไทยสอดคล้องกับทิศทางการยิงของทหารกัมพูชา ไม่ได้มีเป้าหมายกระทำต่อพลเรือนแต่อย่างใด ดังนั้นหากกัมพูชากล่าวอ้างว่ามีพลเรือนของตนได้รับผลกระทบ แสดงว่ากัมพูชาได้ใช้ประชาชนเป็นโล่มนุษย์ ใช้กำลังทหารเข้าปะปนในกลุ่มประชาชนของตน โดยไม่สนใจในผลกระทบที่อาจจะเกิด
@@@…….กรณีการกล่าวอ้างและสร้างข้อมูลบิดเบือน นำภาพการช่วยเหลือเคลื่อนย้ายศพประชาชนชาวกัมพูชาข้ามผ่านชายแดน ซึ่งเป็นการเสียชีวิตด้วยโรคประจำตัวที่โรงพยาบาลใน กทม. และญาติผู้เสียชีวิตได้ประสานผ่านทางการไทย และไทยได้อำนวยความสะดวกด้านการส่งกลับตามหลักมนุษยธรรม แต่ทางกัมพูชานำภาพไปใช้ประกอบการสร้างข่าวเท็จว่าไทยได้ส่งศพเชลยศึกเสียชีวิตกลับประเทศ ซึ่งสิ่งนี้แสดงอย่างชัดเจนว่ากัมพูชาเพิกเฉยต่อเรื่องสิทธิความเป็นมนุษย์ และหลักความเป็นมนุษยธรรม นำชีวิตของประชาชนประเทศตนมาเป็นช่องทางในการสร้างข่าวเท็จอย่างน่าละอาย

@@@…….ที่ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี ได้มีการแสดงนิทรรศการอุปกรณ์ป้องกันประเทศ Defense & Security 2025 โดยกองทัพบกได้เข้ารับมอบต้นแบบยุทโธปกรณ์จากโครงการร่วมวิจัยและพัฒนา โดยสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (สทป.) ซึ่งมอบให้กองทัพบก นำไปประจำการในหน่วยที่เกี่ยวข้อง โดย พล.อ.อานุภาพ ศิริมณฑล หัวหน้าคณะนายทหารฝ่ายเสนาธิการประจำผู้บังคับบัญชา เป็นผู้แทนผู้บัญชาการทหารบก รับมอบจาก พล.อ.นภนต์ สร้างสมวงษ์ ประธานกรรมการสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ ซึ่งมีคณะผู้บริหาร สทป.พร้อมด้วย พลโท ณัฐพร ขวัญแย้ม, พลตรี สมศักดิ์ นุตพันธุ์, พลตรี ระวี ตั้งพิทักษ์กุล และ พลตรี วรากร ฮุ่นตระกูล ร่วมเป็นเกียรติในพิธี

@@@……สำหรับต้นแบบยุทโธปกรณ์จากโครงการร่วมวิจัยและพัฒนา มีจำนวนทั้งสิ้น 3 รายการ ได้แก่ ต้นแบบรถฐานยิงจรวดหลายลำกล้องอเนกประสงค์ (D11A) ต้นแบบปืนใหญ่เบากระสุนวิถีโค้งขนาด 105 มม.(CS/AH2) มอบให้ศูนย์การทหารปืนใหญ่ (ศป.) ต้นแบบจรวดหลายลำกล้องนำวิถีแบบ DTI-1G มอบให้กองพลทหารปืนใหญ่ (พล.ป.) การรับมอบยุทโธปกรณ์ดังกล่าว สะท้อนถึงความก้าวหน้าของงานวิจัยด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของไทย ที่สามารถพัฒนาต้นแบบได้อย่างเป็นรูปธรรม พร้อมช่วยเสริมขีดความสามารถของกองทัพบกในหลายมิติ ทั้งด้านการยิงสนับสนุน การตรวจการณ์ การควบคุมระบบอาวุธ และการพัฒนากำลังรบให้เท่าทันภัยคุกคามรูปแบบใหม่

@@@……กองทัพเรือ…..จากสถานการณ์อุทกภัยในหลายพื้นที่ พล.ร.อ.ไพโรจน์ เฟื่องจันทร์ ผู้บัญชาการทหารเรือ มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนเป็นอย่างยิ่ง และได้สั่งการให้หน่วยเฉพาะกิจผลักดันน้ำ กองทัพเรือ เร่งดำเนินการติดตั้งเครื่องผลักดันน้ำในพื้นที่วิกฤต เพื่อช่วยระบายน้ำและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนโดยเร็วที่สุด ทั้งนี้ หน่วยเฉพาะกิจผลักดันน้ำ กองทัพเรือ ได้ประสานกับสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (สสน.) เพื่อวางแผนการติดตั้งเครื่องผลักดันน้ำตามจุดสำคัญทั่วกรุงเทพมหานครและพื้นที่โดยรอบ รวม 10 จุด โดยกรมอู่ทหารเรือได้จัดส่งชุดสำรวจลงพื้นที่และดำเนินการติดตั้งเครื่องผลักดันน้ำรวม 58 ลำ เพื่อเร่งระบายน้ำจากพื้นที่ชั้นในออกสู่ทะเล

@@@……โดยหน่วยเฉพาะกิจผลักดันน้ำ กองทัพเรือ ชุดแรก ได้เดินทางถึง วัดสุทธาวาส ตำบล คลองหลวงแพ่ง อำเภอเมือง จังหวัดฉะเชิงเทรา เป็นที่เรียบร้อย และได้เริ่มเดินเครื่องผลักดันน้ำ จำนวน 6 ลำ เพื่อเร่งระบายน้ำในคลองไชยานุชิตลงทะเล โดยมีกำลังพลรวม 13 นาย เข้าปฏิบัติงานตลอด 24 ชั่วโมง คาดว่าจะสามารถช่วยเร่งระบายน้ำได้เพิ่มขึ้นประมาณ ร้อยละ 20–30 สำหรับเครื่องผลักดันน้ำที่ใช้ในภารกิจนี้ เป็นแบบ Water Jet ซึ่งออกแบบและพัฒนาโดยวิศวกรของกองทัพเรือ สามารถผลักดันน้ำได้สูงสุดถึง 4,362 ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง และได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถเพิ่มอัตราการระบายน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพในพื้นที่ประสบอุทกภัย

@@@……ปิดท้ายกันด้วยเรื่องกองทัพบกขอเชิญชวนชายไทยสมัครเข้ารับราชการทหารกองประจำการ โดยวิธีร้องขอ (กรณีพิเศษ) ด้วยระบบออนไลน์ ประจำปี 2569 เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ที่มีความตั้งใจสมัครใจเข้ารับราชการทหาร สามารถดำเนินการได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และโปร่งใส ผู้สมัครต้องเป็นชายไทย อายุ 18–20 ปีบริบูรณ์ หรือ อายุ 22–29 ปี ที่ผ่านการตรวจเลือกทหารแล้ว แต่ยังไม่ได้เข้ารับราชการกองประจำการ โดยสามารถสมัครได้ตลอด 24 ชั่วโมง ผ่านเว็บไซต์ https://rcm.rta.mi.th หรือสมัครด้วยตนเอง ณ หน่วยทหารที่เปิดรับสมัครฯ จำนวน 756 หน่วย หรือสำนักงานสัสดี ทั่วประเทศ ภายในวันและเวลาราชการ ตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันที่ 25 ม.ค. 2569

@@@……ผู้สมัครทหารออนไลน์สามารถเลือกหน่วยเข้ารับราชการได้ด้วยตนเอง จากหน่วยที่เปิดรับจำนวน 756 หน่วยทั่วประเทศ รวมทั้งสามารถเลือกวันและสถานที่เข้ารับการคัดเลือกได้ตามความสะดวก ในสถานที่คัดเลือกที่กำหนดไว้ 78 แห่งทั่วประเทศ โดยไม่จำเป็นต้องเลือกจังหวัดเดียวกับหน่วยที่สมัคร ซึ่งขณะนี้ในส่วนของกองทัพบก จนถึงวันที่ 13 พฤศจิกายน 2568 มียอดผู้สมัครจำนวน 19,091 คน โอกาสนี้ กองทัพบกขอให้ชายไทยที่ได้สมัครโครงการ “พลทหารออนไลน์” ไว้แล้ว เตรียมความพร้อมสำหรับการเข้ารับการคัดเลือกทหารกองเกินเข้ารับราชการทหารกองประจำการ โดยวิธีร้องขอ (กรณีพิเศษ) ด้วยระบบออนไลน์ ตามวันและเวลาดังนี้ ครั้งที่ 1 : วันที่ 15 พ.ย. 2568 เวลา 08.00 – 16.30 น. ครั้งที่ 2 : วันที่ 13 ธ.ค. 2568 เวลา 08.00 – 16.30 น. ครั้งที่ 3 : วันที่ 24 ม.ค. 2569 เวลา 08.00 – 16.30 น. ครั้งที่ 4 : วันที่ 25 ม.ค. 2569 เวลา 08.00 – 16.30 น.

@@@……เพื่อให้กระบวนการคัดเลือกเป็นไปอย่างถูกต้องและเรียบร้อย ขอให้ผู้เข้ารับการตรวจเลือกเตรียมเอกสารให้ครบถ้วน ประกอบด้วย บัตรประจำตัวประชาชน, สำเนาทะเบียนบ้านของตนเอง บิดา และมารดา, สูติบัตร (ถ้ามี), เอกสารการเปลี่ยนชื่อ – สกุล (ถ้ามี), ใบสำคัญ สด.9 (สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียนทหาร) และใบรับรองผลการตรวจเลือกฯ แบบ สด.43 (สำหรับผู้ที่ผ่านการตรวจเลือกแล้วแต่ยังไม่เข้าประจำการ) โดยในวันคัดเลือกจะมีการตรวจสอบเอกสารหลักฐาน การตรวจสอบคุณสมบัติของทหารกองเกิน การตรวจสุขภาพร่างกาย รวมถึงการประเมินด้านจิตเวช เพื่อให้สามารถพิจารณาความพร้อมของผู้สมัครได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม และเป็นไปตามเกณฑ์ที่กองทัพบกกำหนด ทั้งนี้ ผู้ที่มีข้อสงสัยหรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ หน่วยทหารหรือหน่วยสัสดีใกล้บ้าน หรือ กองการสัสดี หน่วยบัญชาการรักษาดินแดน โทร. 0 2223 3259.
…………..
คอลัมน์ : “Military Key”
โดย.. “รหัสมอร์ส”






































