สำหรับนโยบายและแผนงานของ กระทรวงพลังงาน มีหลายนโยบายที่ต้องรอเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในรัฐบาลใหม่ ไม่ว่าจะเป็น โครงการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) ปี 2565-2573 ระยะแรก (เฟส 1) รวมปริมาณรับซื้อไฟฟ้า 5,203 เมกะวัตต์ โดยในเฟส 1 คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ได้พิจารณาเห็นชอบรายชื่อผู้ยื่นขอผลิตไฟฟ้าที่ได้รับการคัดเลือกตามระเบียบ กกพ.
สำหรับกลุ่มไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิง พ.ศ.2565 มีผู้ผ่านการพิจารณาคัดเลือก จำนวน 175 ราย ปริมาณเสนอขายรวม 4,852.26 เมกะวัตต์ แหล่งข่าวกระทรวงพลังงานแจ้งว่า ยังไม่มีการลงนามรับซื้อไฟฟ้าเกิดขึ้นคงต้องรอเสนอ ครม.รัฐบาลใหม่พิจารณาก่อน ซึ่งทำให้ผู้ประกอบการที่ได้รับสิทธิจำนวน 175 รายต้องลุ้นกันต่อไป
ขณะที่การแต่งตั้ง “เทพรัตน์ เทพพิทักษ์” ดำรงตำแหน่ง ผู้ว่าการกฟผ.คนใหม่ (คนที่ 16) คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้มีการพิจารณามติการแต่งตั้งตำแหน่งผู้ว่าการกฟผ.ไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา และเห็นว่าควรให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) ในรัฐบาลชุดใหม่เป็นผู้พิจารณา แม้ครม.รักษาการในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้อนุมัติเห็นชอบเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2566 ไปแล้วก็ตาม ดังนั้น กระทรวงพลังงานจะต้องนำเสนอเรื่องการแต่งตั้ง “เทพรัตน์” เป็นผู้ว่าการกฟผ.คนใหม่อีกครั้งเมื่อมีรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาบริหารประเทศ
แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย หรือ แผน PDP ฉบับใหม่ (PDP 2023) แหล่งข่าวจากสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ระบุว่า สนพ. อยู่ระหว่างเร่งดำเนินการจัดทำแผน PDP 2023 ซึ่งในขณะนี้แผนมีความคืบหน้าไปมากแล้ว แต่ต้องรอเสนอ ครม.ในรัฐบาลใหม่ ในแผนมีหลายประเด็นที่ตรงกับนโยบายที่พรรคการเมืองหาเสียงเอาไว้ โดยการจัดทำแผนนั้นต้องสอดคล้องกับเทรนด์การใช้พลังงานในปัจจุบันที่มุ่งเน้นพลังงานสะอาด เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายที่ไทยจะบรรลุการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี ค.ศ.2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Net-zero GHG emission) ภายในปี ค.ศ.2065 โดยคาดว่าจะมีการเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนไม่น้อยกว่า 50%
ส่วน นโยบายการส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) โดย คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ดอีวี) ได้ออกนโยบาย 30@30 เพื่อผลักดันไทยก้าวเข้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำ (Low Carbon Society) ด้วยการเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนที่สำคัญของโลกหรือศูนย์กลางของภูมิภาค (EV Hub) ตั้งเป้าหมายการผลิตรถ ZEV (Zero Emission Vehicle) หรือยานยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ให้ได้อย่างน้อย 30% ของการผลิตยานยนต์ทั้งหมดในปี ค.ศ.2030 (พ.ศ. 2573) ก็ต้องรอเสนอครม.รัฐบาลใหม่เช่นเดียวกัน
“สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์” รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน ระบุว่า การเปลี่ยนผ่านรัฐบาลใหม่นั้น ทางกระทรวงพลังงานพยายามจะมอบนโยบายต่างๆ ที่ดำเนินการไว้ ไม่ให้เป็นภาระกับรัฐบาลชุดใหม่ และเชื่อมั่นว่า ไม่ว่าใครจะเป็นรัฐบาลคงไม่กล้าปฏิเสธที่ต้องขับเคลื่อนไทยไปสู่สังคม คาร์บอนด์ต่ำหรือความเป็นกลางทางคาร์บอนด์หรือ Carbon neutrality” การส่งเสริม EV รวมไปถึงการสนับสนุนอุตสาหกรรมใหม่ๆ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจในอนาคต ส่วนแผน PDP 2023 ขณะนี้ฝ่ายราชการอยู่ระหว่างเร่งดำเนินการจัดทำแผน เมื่อมีรัฐบาลใหม่ก็พร้อมส่งมอบให้กับรัฐบาลใหม่พิจารณาทำต่อเนื่อง ส่วนการเจรจาพื้นที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน (Overlapping Claimed Area-OCA) ก็เช่นเดียวกันคงต้องเป็นเรื่องของรัฐบาลใหม่มาสานต่อ เพื่อหาแนวทางร่วมกันพัฒนาพื้นที่ OCA ใช้ประโยชน์จากแหล่งก๊าซธรรมชาติร่วมกัน
นอกจากนี้กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติอยู่ระหว่างจัดแผน และรายละเอียดเงื่อนไขการเปิดประมูลปิโตรเลียมรอบใหม่ หลังจากล่าสุดได้มีการลงนามสัญญากับผู้ที่ได้สิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียมสำหรับแปลงสำรวจในทะเลอ่าวไทย ครั้งที่ 24 ไปแล้ว “สราวุธ แก้วตาทิพย์” อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ระบุว่า กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ อยู่ระหว่างจัดแผน และรายละเอียดเงื่อนไขการเปิดประมูลรอบใหม่ ซึ่งการเปิดประมูลรอบใหม่จะเป็นแหล่งบนบกอยู่ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง ซึ่งคาดว่า แผนและรายละเอียดเงื่อนไขการประมูลจะแล้วเสร็จประมาณเดือนสิงหาคม 2566 และพร้อมเสนอต่อ ครม.รัฐบาลใหม่ได้ทันที
………………………………..
คอลัมน์ : เข็มทิศพลังงาน
โดย ..“ไรวินทร์”
สนับสนุนคอลัมน์ โดย : บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน)
