มีหลายปัจจัยผันผวนในปัจจุบันที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา และขยายความรุนแรงอย่างรวดเร็ว แถมคาดเดาจุดจบได้ยาก ไม่ว่าจะเป็นการระบาดของโควิด-19 และปัจจัยจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ต่อเนื่องมาถึงอิสราเอล-ฮามาส สร้างผลกระทบในวงกว้างและต่อเนื่องยาวนาน
ซ้ำร้ายยังต้องเจอกับหายนะทางธรรมชาติจากภาวะโลกร้อนที่มาเป็นระลอกในหลายพื้นที่ทั่วโลก ทำให้ผู้ประกอบการต้องรื้อโครงสร้างการบริหารงาน และปรับตัวยกใหญ่ โจทย์ยา คือ จะไปทิศทางไหน เพราะไม่เพียงให้อยู่รอด แต่ต้องเติบโตได้ด้วย
บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC ธุรกิจเคมีภัณฑ์สัญชาติไทย ที่เติบโตและผงาดในเวทีโลกอย่างรวดเร็วภายในระยะเวลาเพียง 12 ปีกับสินทรัพย์ระดับ 7 แสนล้านบาทในวันนี้ มีบริษัทลูกและบริษัทร่วมทุนกว่า 34 บริษัท โรงงานผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ใน 29 ประเทศทั่วโลก ยักษ์ใหญ่แบบนี้หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องเข้าสู่กระแสคลื่นความผันผวนเต็มๆ ความต้องการลด กำลังการผลิตท่วมตลาด แถมยังถูกแข่งขันจากทั่วโลก ใครมีต้นทุนต่ำกว่า “รอด”
![](https://k7ua1a.n3cdn1.secureserver.net/wp-content/uploads/2023/10/GC-SUSTAINABLE-SYMPOSIUM-14.jpg)
GC จะรอดและเติบโตได้อย่างไร ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ GC เล่า GC ได้เริ่มต้นทำโครงการต่างๆเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดค่าใช้จ่ายมาตลอด 4-5 ปี ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ระบาดของโควิด-19 รวมแล้วลดไปได้กว่า 30,000 ล้านบาท มาถึงปี 2566 ยังลดต่อ 6,000-7,000 ล้านบาท โครงการอ่อนไหวอย่างการลดคนก็ยังต้องทำ เพียงแต่ทำเป็นจังหวะๆเพื่อนำเทคโนโลยีเข้ามาทดแทนคนได้และไม่ใช้วิธีเอาคนออกตรงๆ หากใช้รูปแบบออก 3 รับ 1 ประหยัดไปได้ 8,000 ล้านบาท จากเป้าหมาย 5 ปี 12,000 ล้านบาท ส่วนอะไรที่ไม่ใช่ธุรกิจหลักก็หาพันธมิตรมาร่วมลงทุน “ทำให้นาวาใหญ่ลำนี้เบาขึ้น”
ขณะเดียวกันก็ต้องมองโอกาสใหม่ๆ ไปด้วย รอวันที่อุตสาหกรรมนี้จะดีดกลับมาดี โดย GC นำเรื่องภาวะโลกร้อนมาเป็นผลบวกทางธุรกิจ เน้นขยายธุรกิจไปสู่ผลิตภัณฑ์คาร์บอนต่ำ (Low Carbon) รวมไปถึงผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูง (High Value) หนีคู่แข่งไปสู่ผลิตภัณฑ์ที่สามารถทำกำไรได้มากกว่า
![](https://k7ua1a.n3cdn1.secureserver.net/wp-content/uploads/2023/11/20230331-12.jpg)
ในส่วนของ ผลิตภัณฑ์ Low Carbon ทาง GC มอง ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) คือ ขุมทรัพย์ไม่ใช่ผู้ร้าย สามารถนำมาเป็นวัตถุดิบผลิตของอุตสาหกรรมอย่างดี ตอนนี้เร่งบูรณาการกับบริษัทในเครือปตท. พัฒนาเทคโนโลยีดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture and Storage) หรือ CCS เพื่อนำ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มาเป็นวัตถุดิบในการผลิตเคมีภัณฑ์ ซึ่งจะทำให้เกิดผลิตภัณฑ์ที่ได้ออกมาเป็น “กรีน” เป็นที่ต้องการของตลาดรักษ์โลกในวันหน้า อีกทางหนึ่งก็เข้าไปลงทุนในบริษัทอื่นๆ ด้วย เช่น Econic Technologies (Econic) บริษัทสัญชาติอังกฤษ ที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการนำคาร์บอนไดออกไซด์กลับมาใช้ใหม่เป็นวัตถุดิบในกระบวนการผลิตโพลิเมอร์
เรียกว่า ยิงปืนนัดเดียวได้ทั้งธุรกิจใหม่ และมีส่วนร่วมลดโลกร้อน GC จึงมั่นใจว่าแผนลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 20% ภายในปี 2573 และปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2593 จะเป็นรูปธรรมตามเป้าหมาย
![](https://k7ua1a.n3cdn1.secureserver.net/wp-content/uploads/2023/11/ขยะ-จีซี-.jpg)
มีอีกหลายธุรกิจของ GC ที่จะสอดคล้องไปกับแผนการลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก อย่างธุรกิจรีไซเคิล อาจเป็นธุรกิจน้องเล็กแต่จริงจัง ดร.คงกระพัน มองว่า การรีไซเคิลเป็นวิธีลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ (Carbon Footprint) ได้ดีที่สุด ดังนั้น GC จึงมีแนวทางจะขยายกำลังการผลิตจากปัจจุบันผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิล 45,000 ตัน/ปี เป็นเม็ดพลาสติกชนิด PCR PET จำนวน 30,000 ตัน/ปี และ เม็ดพลาสติกชนิด PCR HDPE จำนวน 15,000 ตัน/ปี เป็นเม็ดพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูงระดับ Food Grade ภายใต้แบรนด์ “InnoEco” ซึ่งผ่านการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กระทรวงสาธารณสุขไทย สหรัฐ และยุโรปแล้ว การนำพลาสติกใช้แล้วในประเทศมาเป็นวัตถุดิบทั้งหมด ทำให้ขยะพลาสติกไร้ค่ากลายเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีมูลค่าอีกครั้ง แม้ราคาผลิตภัณฑ์ปลายทางอาจจะสูงขึ้น แต่ก็ได้รับการตอบรับจากตลาดกลุ่มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มรายใหญ่อย่างต่อเนื่อง
![](https://k7ua1a.n3cdn1.secureserver.net/wp-content/uploads/2023/11/20230331-15.jpg)
ส่วนการขยายกำลังการผลิตพลาสติกชีวภาพย่อยสลายได้ชนิด (PLA) ในโครงการนครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์ ระยะที่ 2 มูลค่า 1,400 ล้านบาทก็เดินหน้าต่อ ภายใต้การดำเนินงานของบริษัทลูก โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GGC ที่จะก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2568 ด้วยกำลังผลิต 75,000 ตัน/ปี
สำหรับ ผลิตภัณฑ์ High Value ที่ GC จะพุ่งไปนั้น ถ้าจะให้เร็วก็หนีไม่พ้นซื้อกิจการเหมือนกับที่ GC ซื้อกิจการ Allnex ยักษ์ใหญ่จากเยอรมันด้านธุรกิจผลิตภัณฑ์สารเคลือบผิว (Coating Resins) และสารเติมแต่งสำหรับงานอุตสาหกรรมเมื่อปี 2564 ที่ช่วยตอบโจทย์ทิศทาง ทั้ง High Value and Low Carbon ไปพร้อมกัน ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 600-780 กิโลตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี เพียงแต่ในช่วงเวลาที่ยังมีปัจจัยท้าทายมากมายในตอนนี้ การซื้อกิจการขนาดใหญ่ระดับ 1.4 แสนล้านบาทอย่างนั้น GC จึงของพักไว้ก่อนชั่วคราว
![](https://k7ua1a.n3cdn1.secureserver.net/wp-content/uploads/2023/11/ดร-คงกระพัน-2-1024x683.jpg)
แม้ว่าอุตสาหกรรมปิโตรเคมีจะผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว แต่ดร.คงกระพัน มองว่ายังต้องเซฟ การลงทุนของ GC ในปี 2567 เลยตั้งงบเบาะๆไว้ 22,000 ล้านบาท เพื่อใช้ในโครงการปกติอย่างการซ่อมบำรุงเครื่องจักรเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต 15,000 ล้านบาท และลงทุนโครงการต่อเนื่องที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 7,000 ล้านบาท แล้วก็ต้องติดตามปัจจัยภายนอกที่ควบคุมได้ยากต่างๆ ทั้งจากปัจจัยสงคราม ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจสหรัฐ ว่าจะสามารถ Soft Landing หรือชะลอเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูงขณะที่ไม่เข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้หรือไม่ ดังนั้น 1-2 ปีนี้ธุรกิจปิโตรเคมียังต้องเหนื่อยกันไปก่อน แม้ปริมาณการขายจะเติบโตแต่ก็ไม่มากนัก หรือเพิ่ม 10% จากปีนี้มีปริมาณการขายเม็ดพลาสติก 17 ล้านตัน ผลิตภัณฑ์ที่น่าจะมีมาร์จิ้น (margin) ดีขึ้นก็เป็นเม็ดพลาสติกโพลีเอทิลีน (PE) ผลิตภัณฑ์กลุ่มอะโรเมติกส์ และกลุ่มเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษ (specialty)
![](https://k7ua1a.n3cdn1.secureserver.net/wp-content/uploads/2023/11/แกลลอรี่-จีซี-_0.jpg)
ในระหว่างรอวันที่อุตสาหกรรมปิโตรเคมีจะรุ่งอีกครั้งนั้น กลยุทธ์ 3 Steps Plus ของ GC ก็เดินหน้าต่อ ทั้ง Step Change หรือยกระดับความสามารถในการแข่งขัน สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ Step Out การแสวงหาโอกาสการเติบโตในธุรกิจใหม่ หรือในต่างประเทศ จากธุรกิจ High Value and Low Carbon และ Step Up การสร้างความยั่งยืนทางธุรกิจ โดยมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero เพื่อรักษาระดับการเติบโต ขณะเดียวกันก็ได้รับการยอมรับจากตลาดทั้งในไทยและระดับโลก
#GC #ดีขึ้นเพื่อคุณดีขึ้นเพื่อโลก #เคมีที่เข้าถึงความสุข
#ChemistryforBetterLiving #GenSStandingForSustainability
………………………….
คอลัมน์ : เข็มทิศพลังงาน
โดย “สายัน สัญญา”