คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เคาะเป็นที่เรียบร้อยสำหรับค่าไฟฟ้าอัตโนมัติ หรือ “ค่าเอฟที” งวดเดือนม.ค.-เม.ย.67 จำนวน 39.72 สตางค์ต่อหน่วย ทำให้ค่าไฟฟ้าที่เรียกเก็บจากประชาชนอยู่ที่ 4.18 บาทต่อหน่วย ลดลงจากตัวเลขเดิมจะเคาะกันที่ 4.68 บาทต่อหน่วย ตัวเลขค่าไฟเป็นทางการที่ 4.18 บาทต่อหน่วย มาจากปรับปรุงการคำนวณตามมาตรการลดค่าไฟฟ้าของกระทรวงพลังงาน ตามที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เห็นชอบในการประชุมเมื่อวันที่ 13 ธ.ค.66 และมติครม.วันที่ 19 ธ.ค.66
ตัวเลขที่ลดลงมาจากไหน มาจาก 4 ส่วนดังนี้
1.ให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) รับภาระเงินคงค้างสะสม สำหรับงวดเดือน ม.ค.-เม.ย.67 จำนวน 15,963 ล้านบาท แทนประชาชนไปพลางก่อน ส่งผลให้ค่าเอฟทีลดลงได้ 25.37 สตางค์ต่อหน่วย
2.ราคาตลาดจรก๊าซธรรมชาติเหลว (Spot LNG) ลดลง จากที่ประมาณการไว้ที่ 16.9 ดอลลาร์สหรัฐต่อล้านบีทียู เหลือ 14.3 ดอลลาร์สหรัฐต่อล้านบีทียู ทำให้ราคาเนื้อก๊าซเฉลี่ย (Pool Gas) ลดจาก 387 บาทต่อล้านบีทียูเหลือ 365 บาทต่อล้านบีทียู ส่งผลให้สามารถลดค่าเอฟทีลงได้ 9.98 สตางค์ต่อหน่วย
![](https://k7ua1a.n3cdn1.secureserver.net/wp-content/uploads/2023/02/05-1คว่ำ-กฟผ.jpg)
3.ปรับปรุง Pool Gas ซึ่งมาจากค่าเฉลี่ยราคาก๊าซฯอ่าวไทย ก๊าซฯจากเมียนมาและ LNG โดยให้กลุ่มปิโตรเคมีซื้อราคา Pool Gas จากเดิมได้สิทธิ์ใช้ต้นทุนราคาก๊าซฯเท่ากับก๊าซฯในอ่าวไทยตามนโยบายรัฐบาลในอดีตที่ต้องการเพิ่มมูลค่าก๊าซฯในอ่าว ดังนั้นเมื่อตัวหารเพิ่มเข้ามา ทำให้ราคา Pool Gas ลดลงจาก 365 บาทต่อล้านบีทียูเหลือ 343 บาทต่อล้านบีทียู ส่งผลให้ค่าเอฟทีลดลงได้ 10.01 สตางค์ต่อหน่วย ส่วนก๊าซฯที่ไปผลิตก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) สำหรับใช้เป็นก๊าซหุงต้มให้ใช้ต้นทุนราคาก๊าซฯเท่ากับราคาก๊าซฯอ่าวไทย
4.เรียกเก็บค่าปรับ (Shortfall) 4,300 ล้านบาท จากการที่ผู้ผลิตก๊าซฯในอ่าวไทยไม่สามารถส่งมอบก๊าซฯได้ตามเงื่อนไขในสัญญาซื้อขายก๊าซฯในช่วงปี 2563-2565 ทำให้ราคา Pool Gas ลดลงจาก 343 บาทต่อล้านบีทียูเหลือ 333 บาทต่อล้านบีทียู ส่งผลให้ค่าไฟลดลง 6 สตางค์ต่อหน่วย
ส่วนกลุ่มผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 300 หน่วยต่อเดือน ให้ตรึงอัตราค่าไฟฟ้างวดเดือน ม.ค.-เม.ย.67 ที่อัตรา 3.99 บาทต่อหน่วย โดยใช้เงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 งบกลาง รายการสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นจากคณะรัฐมนตรี วงเงินรวม 1,950 ล้านบาท
![](https://k7ua1a.n3cdn1.secureserver.net/wp-content/uploads/2021/08/DJI_0162.jpg)
เอาเข้าจริงแล้วปัจจัยหลักๆ ที่มีผลต่อต้นทุนค่าไฟฟ้าอย่างมีนัยสำคัญในงวดนี้มาจาก การขาดส่งก๊าซฯในอ่าวไทย ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงรอยต่อการเปลี่ยนสัมปทานผลิตก๊าซฯ “แหล่งเอราวัณ” จาก บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด มาเป็น บริษัท ปตท.สผ. เอนเนอร์ยี่ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (ปตท.สผ.อีดี) ซึ่งประกาศแผนไว้ว่า จะผลิตก๊าซฯได้ 400 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันในกลางปี 66 จากนั้นจะขยับเพิ่มขึ้นเป็น 600 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันในสิ้นปี 2566 และ 800 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันในช่วงเม.ย.67 ตามลำดับ แต่เมื่อถึงเวลาผลิตได้ไม่ถึงเหลือเพียง 200-300 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน เพิ่งผลิตได้ 400 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันเมื่อเดือนก.ค.66 ส่วนผลิตเพิ่ม 600 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันก็ดีเลย์ออกไป 2 เดือนจากสิ้นปี 66 จนแล้วจนรอดปัจจุบันผลิตได้เพียง 400 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ซึ่งค่าปรับจากการขาดส่งก๊าซฯหรือ shortfall 4,300 ล้านบาทถือว่าน้อยนิดเมื่อเทียบกับที่ต้องซื้อ LNG ราคาแพงมาใช้แทน มูลค่ารวมหลายหมื่นล้านบาท
![](https://k7ua1a.n3cdn1.secureserver.net/wp-content/uploads/2024/01/S__5062890_0.jpg)
หลายคนมองว่า เรื่องนี้รู้กันอยู่แล้ว ว่าเราต้องเผชิญกับเหตุการณ์ขาดส่งก๊าซฯในช่วงรอยต่อของการเปลี่ยนบริษัทรับสัมปทาน แต่ความผิดพลาดก็เกิดขึ้น เกิดตรงไหน??? ก็ตรงการเคลียร์ตัวเลขที่จะผลิตได้จริงๆ แล้วก็คาดการณ์ผิดแบบจะจงใจหรือไม่ก็ตาม ที่คิดว่าจะซื้อ LNG ราคาถูกๆ มาใช้แทนได้ ตอนนั้นเคราะห์ซ้ำกรรมซัดในช่วงที่ผลิตก๊าซฯจากแหล่งเอราวัณต่ำ เกิดสงครามรัสเซีย-ยูเครนพอดิบพอดี ทำให้ LNG พุ่งไปถึง 50-60 ดอลลาร์ต่อล้านบีทียู จากราคาเฉลี่ย 30 ดอลลาร์ในตอนนั้น มาเทียบกับราคาตลาดจรตอนนี้อยู่ที่ 14 ดอลลาร์ เรียกว่าแพงหลายเท่าตัว
แต่ก็ด้วย นโยบายการเมือง ต้องกดให้ค่าไฟลดต่ำลงในรอบนี้ โดยใช้วิธีตึ๋งกฟผ.เป็นหลัก โดยเฉพาะค่า AF (Accumulated Factor) สะสมที่เกิดขึ้นจริงตั้งแต่ก.ย.64 ถึงเม.ย.66 ยังไม่ครบดีตัวเลขชัดๆปาเข้าไป 135,297 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากส่วนต่างระหว่างต้นทุนค่าเชื้อเพลิง ค่าซื้อไฟฟ้า และค่าใช้จ่ายตามนโยบายรัฐที่เกิดขึ้นจริงกับค่าประมาณการค่าเอฟทีที่ กกพ. เห็นชอบให้เรียกเก็บ
![](https://k7ua1a.n3cdn1.secureserver.net/wp-content/uploads/2024/01/ท่านเลขาคมกฤช.jpg)
ดังนั้นในอนาคตเมื่อค่าเชื้อเพลิงลดต่ำลง ก็จะต้องถูกเรียกคืนกัน ตอนนั้นเราๆ ก็จะไม่เห็นค่าไฟลดลงตามสถานการณ์จริงๆ เรื่องนี้ “คมกฤช ตันตระวาณิชย์” เลขาธิการ สำนักงาน กกพ. ออกมาย้ำเองว่า ถึงแม้ว่าราคาค่าไฟฟ้าในรอบเดือน ม.ค.-เม.ย.67 จะปรับลดลง แต่ต้นทุนค่าไฟฟ้าในระยะต่อๆ ไปจะขึ้นกับราคาและปริมาณก๊าซฯที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงหลัก ดังนั้นยังคงต้องติดตามความสามารถของการส่งก๊าซฯจากอ่าวไทยและการส่งก๊าซฯจากแหล่งในเมียนมาอย่างใกล้ชิด เพื่อให้มีการจัดหา LNG เพิ่มเติมอย่างมีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันราคาค่าไฟฟ้าคงต้องคำนึงถึงภาระเอฟทีคงค้างที่ต้องส่งคืน กฟผ. และ ปตท. ในระยะเวลาที่เหมาะสม
ทราบกันดีอยู่แล้วว่า ทรัพยากรใช้แล้วหมดไป ก๊าซฯในอ่าวก็จะลดลงไปเรื่อยๆ LNG ก็จะเข้ามาแทนที่เพิ่มไปเรื่อยๆเช่นกัน ซึ่งราคาผันผวนขึ้นลงตามสถานการณ์ จะหวังพึ่งผู้ประกอบจัดหาและนำส่งก๊าซธรรมชาติ (Shipper) จากนโยบายเปิดเสรีนำเข้า เพื่อเอา LNG จากตลาดจรมาแข่งกันขายราคาถูกให้กับโรงไฟฟ้าประเทศคงยาก คงหวังได้แต่รัฐวิสาหกิจอย่าง ปตท.ที่จะนำเข้า LNG ตามสัญญาระยะยาวที่มั่นคงแน่นอนกว่า
แต่นั่นแหละของถูกจากอ่าวไทยนับวันจะร่อยหรอ ยังไงเสียเราต้องเจอกับค่าไฟฟ้าที่แพงขึ้นๆ ยากเหลือเกินที่จะได้เห็นค่าไฟฟ้าลดกลับมาที่ 3.7 บาทต่อหน่วยอย่างเก่าก่อน ฐานใหม่คงปาไปไม่ต่ำกว่า คือ 4.2-4.3 บาทต่อหน่วยเป็นแน่แท้
………………………
คอลัมน์ : เข็มทิศพลังงาน
โดย..“สายัญ สัญญา”