มากันอย่างต่อเนื่องสำหรับ มาตรการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า (อีวี) ล่าสุดเมื่อวันที่ 21 ก.พ.67 ที่ประชุม คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ด EV) ที่มี “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ออกมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่ ทั้งรถโดยสารไฟฟ้า (E-Bus) และรถบรรทุกไฟฟ้า (E-Truck)
โดยให้ สามารถหักค่าใช้จ่ายในการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคล สำหรับการซื้อรถโดยสารไฟฟ้าและรถบรรทุกไฟฟ้ามาใช้งาน โดยไม่กำหนดเพดานราคาขั้นสูง กรณีซื้อรถที่ผลิต/ประกอบในประเทศ สามารถนำมาหักค่าใช้จ่ายได้ 2 เท่า กรณีนำเข้ารถสำเร็จรูปจากต่างประเทศ สามารถหักค่าใช้จ่ายได้ 1.5 เท่า ไม่จำกัดจำนวนคันและราคา
ทั้งยังเห็นชอบให้ ปรับปรุงมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าระยะที่ 2 หรือ EV 3.5 เช่น ขยายขอบเขตของรถยนต์ไฟฟ้าที่ได้รับสิทธิให้ครอบคลุมรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน และเพิ่มคุณสมบัติของรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า กรณีที่มีขนาดแบตเตอรี่ต่ำกว่า 3 kWh แต่มีระยะทางวิ่งมากกว่า 75 กิโลเมตรต่อรอบการชาร์จ รวมทั้งมีมาตรฐานความปลอดภัย สามารถเข้าร่วมมาตรการ EV3.5 ได้ เพื่อตอบโจทย์ผู้ประกอบการมากขึ้น
มาตรการรัฐที่ออกมาสนับสนุนอย่างถี่ยิบ เป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญในการกระตุ้นตลาด “อีวี” ในประเทศโตก้าวกระโดด เห็นจากยอดจดทะเบียนรถยนต์อีวี ที่สูงถึงกว่า 76,000 คันในปี 2566 เพิ่มขึ้น 6.5 เท่าจากปีก่อน ไม่นับรวมมาตรการส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมอีวี จำนวน 103 โครงการปี 66 เงินลงทุนรวม 77,192 ล้านบาท
![](https://k7ua1a.n3cdn1.secureserver.net/wp-content/uploads/2024/02/semi-trailer-534577_640.jpg)
นโยบายที่หนุน “อีวี” เต็มสูบ จนทำให้ “อีวี” โตแบบก้าวกระโดดอย่างนี้ คนขายเชื้อเพลิงชีวภาพก็มองตาปริบๆ บริษัท โกลบอลกรีน เคมีคอล จำกัด (มหาชน) (GGC) ผู้ผลิต B 100 รายใหญ่ เห็นว่า นโยบายรัฐบาลไม่ค่อยบาลานซ์ อยากให้รัฐมองมาที่ “ไบโอดีเซล” ด้วยเช่นกัน เพราะเอาเข้าจริงแล้ว การส่งเสริมการใช้ไบโอดีเซลได้กับเกษตรกรไทยโดยตรง แม้ว่าตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค.67 เป็นต้นไป การจำหน่ายน้ำมันดีเซลในประเทศจะเหลือเพียง 2 ชนิดคือ น้ำมันดีเซล B7 หรือ น้ำมันดีเซลที่มีส่วนผสมของน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ 7% ซึ่งจะเป็นน้ำมันดีเซลหลักในการจำหน่าย และ น้ำมันดีเซล B20 ซึ่งจะเป็นน้ำมันทางเลือก แต่ก็อยากให้สนับสนุนให้จริงจังมากกว่านี้ โดยได้เสนอไปยัง “กระทรวงพลังงาน” ให้เพิ่มสัดส่วนการผสมเอทานอลลงไปในน้ำมันไบโอดีเซลจาก B7 ให้ทยอยเพิ่มจนถึง B30 เพราะเอาเข้าจริงแล้ว การโหมออกมาตรการสนันสนุนให้รถบรรทุกใหญ่ไปใช้อีวี ใช่ว่าจะได้เลย ต้องใช้เวลาในการเปลี่ยนผ่านอย่างน้อย 3-5 ปี เพราะรถบรรทุกต้องใช้แบตเตอร์รี่จำนวนมาก ดังนั้นต้องอาศัย “ไบโอดีเซล” เข้ามาตอบโจทย์
“ปิยะ สุริย์” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานพาณิชยกิจ GGC ระบุว่า การส่งเสริมอีวีสำหรับรถบรรทุกอาจจะเร็วไป ต้องใช้เวลาในการเปลี่ยนผ่านพอสมควร ควรสนับสนุนการใช้ไบโอดีเซลซึ่งประเทศไทยได้ประโยชน์ และส่งผลตรงต่อเกษตรกรไทย มีแต่ “วิน-วิน” กับประเทศ ส่วนการลดคาร์บอนก็ทำได้ เพราะเรามี “กรีนเมทานอล” ขณะที่อีวีตอนนี้ฐานการผลิตใหญ่อยู่ที่จีน
“เขา” บอกอย่างนี้สรุปได้ความว่า รัฐบาลควรหนุน “ไบโอดีเซล” อย่างจริงจังมากกว่านี้ เพื่อให้ประโยชน์ตกอยู่กับประเทศ
แต่ตอนนี้เบรก “อีวี” ที่กำลังมาแรงคงจะยาก เพราะถูกทำให้เป็นสัญลักษณ์ของการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกไปเสียแล้ว เมื่อ “อีวี” กำลังแทรกเข้ามาแทนที่ “น้ำมัน” ทำให้ยอดขาย B100 ไม่เติบโตมากมาย GGC ก็ต้องหาทางไปให้พร้อม โดยวางกลยุทธ์มุ่งไปที่การสร้างมูลค่าเพิ่มของน้ำมันปาล์ม ซึ่งตอนนี้ GGC เป็นผู้ใช้น้ำมันปาล์มรายใหญ่อยู่ 2 ล้านลิตรต่อปี ราว 10% ของกำลังการผลิตทั้งหมดของประเทศ เอาไปผลิตเมทิลเอสเตอร์ หรือ B100 ปริมาณ 300,000 ตัน แฟตตี้แอลกอฮอล์ 100,000 ตัน และกลีเซอรีนที่ 40,000 ตัน
![](https://k7ua1a.n3cdn1.secureserver.net/wp-content/uploads/2024/02/b-52-stratofortress-2430079_640.jpg)
โดยจะผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงชีวภาพมูลค่าสูง 3 โครงการด้วยกัน ได้แก่ 1.โครงการน้ำมันเชื้อเพลิงชีวภาพ หรือ SAF (Sustainable Aviation Fuel) นำน้ำมันพืชใช้แล้วมาผลิตเป็นน้ำมันอากาศยานชีวภาพที่กำลังเป็นที่ต้องการของตลาดโลก ซึ่งในภาพรวมไทยมีแผนจะบังคับใช้น้ำมันอากาศยานชีวภาพให้ได้ถึง 1% ในปี 2568 ซึ่ง GGC จะผลิตในเชิงพาณิชย์ได้ในปีนั้น แต่ก็ต้องดูความพร้อมเป็นระยะ เพราะน้ำมันพืชใช้แล้วในประเทศไทยมีรวมๆกันแค่ 80,000 ตันแต่ GGC ต้องการถึง 20,000 ตัน จึงต้องทำเป็นเฟสๆ ไปก่อน เริ่มต้นจากการดัดแปลงอุปกรณ์ กำลังผลิต 400 ตันต่อเดือน จากนั้นจึงจะเริ่มสร้างโรงงานในระยะต่อไป
แต่ก็เป็นโอกาสสำหรับ GGC เพราะความต้องการน้ำมันเครื่องบินทั้งหมด 15 ล้านลิตรต่อวัน สัดส่วน 1% ที่จะบังคับใช้ก็เท่ากับ 150,000 ลิตร และจะต้องเพิ่มสัดส่วนมากขึ้นตามกติกาของโลก
![](https://k7ua1a.n3cdn1.secureserver.net/wp-content/uploads/2024/02/crop-5159303_640.jpg)
นอกจากนี้ก็ยังมี 2.โครงการ ATJ (Alcohol-to-Jet) หรือ ต่อยอดผลิตภัณฑ์เอทานอลจากวัตถุดิบทางการเกษตร เพื่อผลิตเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงชีวภาพในปี 2573 และ 3.โครงการ Green Mathanol เป็นน้ำมันสำหรับเรือเดินสมุทร
ทั้ง 3 โครงการนอกจากจะเป็นการสร้างผลตอบแทนแล้ว ยังช่วยให้เป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจำของ GGC เป็นศูนย์ได้ในปีพ.ศ.2593 ด้วย
GGC ยังจะบุกธุรกิจใหม่อย่าง Food ingredients and Pharmaceutical ล่าสุดแตกออกมาเป็นผู้ผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหารภายใต้แบรนด์ “Nutralist” เปิดตัวผลิตภัณฑ์อาหารเสริม 2 ตัวไปเมื่อเร็วๆ นี้ ได้แก่ Astaxanthin ช่วยเรื่องกล้ามเนื้อ และ Probiotic ช่วยเรื่องการย่อยอาหารตามเทรนด์สุขภาพ ตั้งเป้าการเติบโตของธุรกิจกลุ่มนี้ไว้ที่ 10% ของ EBITDA หรือคิดเป็นมูลค่า 300 ล้านบาท ภายในปี 2569 และภายในปี 2573 ธุรกิจใหม่ทั้งหมดของ GGC จะมีสัดส่วน EBITDA ถึง 50% เลยทีเดียว
![](https://k7ua1a.n3cdn1.secureserver.net/wp-content/uploads/2024/02/S__5652686_0.jpg)
ในปีนี้ “กฤษฎา ประเสริฐสุโข” กรรมการผู้จัดการ GGC เปรยว่า “ปีนี้อย่ากระพริบตาเลยทีเดียว เพราะจะแตกผลิตภัณฑ์ออกไปอีก เป็นเครื่องสำอาง โดยร่วมทุนกับพันธมิตรต่างชาติ และทำแบรนด์ใหม่ออกมาให้คนไทยใช้”
…ยุคการเปลี่ยนพลังงานต้องจับตากันเลยทีเดียว แต่ละอุตสาหกรรมผลิตสินค้ากันข้ามสาย ไม่จำกัดว่าจะเป็นสายพลังงาน แล้วจะไปทำเครื่องสำอางประทินผิวไม่ได้ หรือจะไปทำผลิตภัณฑ์เสริมอาหารกันไม่ได้ งานนี้อยู่ที่ต้นทุนใครถูกกว่าและทำตลาดได้ดีกว่า
สำคัญคือการทำผลิตภัณฑ์ที่ถึงตัว “ผู้บริโภค” จะช่วยสร้างการจดจำต่อ “แบรนด์” ได้มากกว่า “พลังงาน” เข้าทำนอง “ซอฟต์พาวเวอร์” นั่นเอง!!!
………………………..
คอลัมน์ : เข็มทิศพลังงาน
โดย… ” สัญญา สายัน”
สนับสนุนคอลัมน์ โดย : บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน)
![](https://k7ua1a.n3cdn1.secureserver.net/wp-content/uploads/2024/03/Banner-KV-ลงสื่อ-Digital695x150px.jpg)